การเสียดินแดนของไทย ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าทางประวัติศาสตร์ที่อยู่ในตำราเรียน แต่มันคือบาดแผลที่ยังสดใหม่อยู่ในใจของใครหลายคน โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงกรณีเขาพระวิหารและพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาที่กลายเป็นจุดตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์มานานกว่าร้อยปี เส้นแบ่งที่เราเห็นในแผนที่ ไม่ได้ถูกวาดจากความเข้าใจร่วมกันของรัฐทั้งสองฝ่าย แต่คือเส้นที่ “ใครบางคน” จากอีกซีกโลกลากไว้ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองในยุคอาณานิคม
ฝรั่งเศสในฐานะเจ้าอาณานิคมวาดแผนที่ 1:200,000 ขึ้นเพื่อบริหารอินโดจีน ไม่ใช่เพื่อแบ่งเขตแดนอย่างเสมอภาค แผนที่นี้ไม่ได้เกิดจากข้อตกลงร่วมกับไทย และไม่ได้ผ่านการลงนามใด ๆ จากฝ่ายไทย ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป ฝ่ายกัมพูชากลับยึดเอาแผนที่นี้เป็นหลักฐานว่าไทย “ยอมรับโดยพฤตินัย” เพราะไม่เคยประท้วงอย่างเป็นทางการในช่วงเวลานั้น
นี่คือจุดเริ่มต้นของ การเสียดินแดนของไทย ที่ไม่ได้เกิดจากการรบแพ้ หรือการยินยอมอย่างแท้จริง แต่เกิดจากการไม่มีโอกาสคัดค้าน และการอยู่ในสถานะที่อ่อนแอกว่าในยุคล่าอาณานิคม
หลักการแบ่งเขตแดนสากลระบุว่า การใช้ “แนวสันปันน้ำ” คือวิธีที่ยุติธรรมที่สุด ประเทศไทยจึงใช้แผนที่ 1:50,000 ซึ่งแสดงแนวสันเขา ลำห้วย และจุดแบ่งธรรมชาติอย่างแม่นยำเพื่อยืนยันสิทธิในดินแดน แต่ฝรั่งเศสกลับสร้างแผนที่ Annex I จากภาพรวมกว้าง ๆ และใช้เป็นเครื่องมือทางอำนาจในการกำหนดเส้นแบ่ง
ผลคือ ไทยถือแผนที่ที่สะท้อนความจริงทางภูมิศาสตร์ แต่กัมพูชาถือแผนที่ที่สะท้อนอำนาจทางการเมืองในอดีต และนั่นคือจุดชนวนที่ทำให้เกิดความไม่เข้าใจมานับศตวรรษ จนนำไปสู่ข้อพิพาทและข้อกล่าวหาเรื่อง การเสียดินแดนของไทย ที่คนจำนวนไม่น้อยยังไม่เข้าใจเบื้องหลังอย่างแท้จริง
ในปี 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินให้เขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา โดยยึดแผนที่ Annex I เป็นหลักประกอบสำคัญ และให้เหตุผลว่าไทย “ไม่เคยคัดค้านอย่างเป็นทางการ” ตลอดช่วงเวลาหลายสิบปี นี่คือจุดที่คนไทยจำนวนมากรู้สึกว่า “ไม่เป็นธรรม” เพราะแผนที่ที่ใช้อ้างนั้น ไม่เคยผ่านการเห็นชอบร่วมกันเลยแม้แต่น้อย
แม้ศาลจะไม่พิจารณาเจตนาเบื้องหลัง แต่กลับให้ “ความเงียบ” กลายเป็น “น้ำหนักของการยอมรับ” และนั่นคือสิ่งที่ทำให้คนไทยมองว่าคำตัดสินนี้ คือการทำให้ การเสียดินแดนของไทย กลายเป็นเรื่องจริง ทั้งที่ความจริงยังไม่เคยได้รับการเปิดเผยในเวทีระหว่างประเทศอย่างรอบด้าน
สิ่งที่น่าหดหู่คือ เส้นแบ่งในแผนที่เหล่านั้น ไม่เคยมีชาวบ้านในพื้นที่มีสิทธิเห็นหรือตรวจสอบ ไม่มีการปรึกษา หรือถามความคิดเห็นของประชาชนที่ต้องอาศัยอยู่กับผลของเส้นแบ่งนี้มาทั้งชีวิต เมื่อแผนที่ถูกวาดขึ้นในปารีส แต่ต้องถูกบังคับใช้ในป่าเขาชายแดนไทย – เขมร ผลลัพธ์คือความเจ็บปวดที่ไม่มีใครในพื้นที่ได้เลือกเลย
การเสียดินแดนของไทย จึงไม่ใช่แค่เรื่องของการเสียพื้นที่ แต่คือการเสียสิทธิ์ในการ “มีเสียง” ตั้งแต่ต้น ไม่มีการลงนามร่วม ไม่มีการตรวจสอบหลักฐาน ไม่มีแม้แต่ความเข้าใจร่วมกันเกี่ยวกับ “เส้นเขตแดน” และที่ร้ายกว่านั้น คือเส้นแบ่งที่ฝรั่งเศสสร้างไว้ ยังถูกส่งต่อเป็น “มรดกของปัญหา” มาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน โดยที่ไม่มีใครรับผิดชอบ
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ทำให้ การเสียดินแดนของไทย กลายเป็นความจริงในสายตาของศาล ก็คือหลักการ “การนิ่งเท่ากับยินยอม” ในกฎหมายระหว่างประเทศ เมื่อไทยไม่ได้มีการประท้วงทันทีในเวลานั้น พฤติกรรมแบบ “ไม่พูด” จึงถูกตีความว่า “เห็นด้วย” ทั้งที่สถานการณ์ในยุคอาณานิคม ไม่ได้เปิดโอกาสให้ไทยพูดหรือแสดงจุดยืนอย่างเท่าเทียม
นี่คือกับดักของกฎหมาย ที่ตัดสินโดยไม่ย้อนดูบริบทของยุคสมัย และเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ การเสียดินแดนของไทย ไม่สามารถถูกอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย ๆ ในเวทีระหว่างประเทศ
เมื่อเราเปิดแผนที่ Annex I แล้วเห็นว่าเขาพระวิหารอยู่ฝั่งกัมพูชา นั่นคือการเห็นผ่านเลนส์ของผู้ชนะในอดีต แต่เมื่อเรากลับมาดูแนวสันปันน้ำ ดูภูมิประเทศจริง และฟังเสียงของคนในพื้นที่ เราจะรู้ว่า การเสียดินแดนของไทย เกิดขึ้นจากความไม่เท่าเทียมที่ถูกออกแบบให้ “ดูเหมือนถูกต้อง” ทั้งที่ไม่มีใครได้เลือกมันเลยตั้งแต่ต้น
เส้นเขตแดนจึงไม่ควรเป็นแค่เส้นในแผนที่ แต่ควรเป็นเส้นที่เกิดจากความเข้าใจร่วมกันของทั้งสองประเทศ และถ้ายังไม่มีวันนั้น เส้นแบ่งใจของประชาชนไทย–กัมพูชาก็จะไม่มีวันจางหาย