fbpx
โลโก้ Pararin Publishing – สำนักพิมพ์ที่สร้างสรรค์หนังสือให้กำลังใจและพัฒนาตัวเอง จากการเรียนรู้สิ่งที่เคยพลาด

Pararin Publishing ตั้งใจเขียนทุกบทความให้คุณได้อ่านแบบไม่มีโฆษณากวนใจ

เพราะเราอยากให้คุณได้อ่านบทความดี ๆ อย่างเต็มที่ ถ้าคุณรู้สึกว่าเนื้อหาของเรามีคุณค่า

สนับสนุนเราได้ด้วยการซื้ออีบุ๊ค หรือร่วมสมทบตามใจคุณ

เพราะทุกการสนับสนุนของคุณ คือพลังที่ทำให้เราสร้างเนื้อหาดี ๆ ได้ตลอดไป

ถ้าพูดถึง “การเสียดินแดนของไทย” คนส่วนใหญ่จะนึกถึงบทเรียนในห้องเรียน หรือเหตุการณ์ช่วงสูญเสียล้านช้าง เสียมราฐ ศรีโสภณในอดีต แต่มีกรณีหนึ่งที่เจ็บลึกและยังคงเป็นแผลเรื้อรัง นั่นคือกรณีข้อพิพาทไทย–กัมพูชา ซึ่งกลายเป็นจุดที่ความเงียบ ความไม่เข้าใจ และเส้นในแผนที่ที่ไม่มีใครยอมรับตรงกัน พาเราเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมที่ไม่ได้ยุติธรรมเสมอไป

แผนที่ Annex I ที่กลายเป็นหลักฐานในศาลระหว่างประเทศ คือจุดเริ่มต้นของความเข้าใจไม่ตรงกันนี้ แต่สิ่งที่หลายคนไม่เคยถาม คือ “ใครมีสิทธิ์วาดแผนที่นี้ตั้งแต่ต้น?” และการที่ไทยไม่คัดค้านทันทีนั้น มาจาก “ความยินยอม” หรือเพราะ “ไม่มีโอกาสจะปฏิเสธ” กันแน่

หลักฐานที่ไม่มีใครได้เลือก

หากใครเคยศึกษาเบื้องหลังการจัดทำแผนที่ยุคอาณานิคม จะรู้ว่า มันไม่ได้เกิดจากความต้องการแบ่งเขตแดนแบบยุติธรรม หากแต่คือเครื่องมือของเจ้าอาณานิคมในการบริหารดินแดนของตน แผนที่ Annex I ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นหลังสนธิสัญญาไทย–ฝรั่งเศส ปี 1907 ก็เช่นกัน มันไม่ได้อิงแนวสันปันน้ำตามที่ตกลงไว้ในสัญญา และไม่มีการลงนามร่วมของฝ่ายไทยแม้แต่น้อย

ปัญหาใหญ่คือ ในเวลานั้น ไทยไม่อยู่ในสถานะที่จะต่อรองได้ การเงียบจึงกลายเป็น “ทางเลือกที่ไม่มีทางเลือก” และนั่นคือที่มาของ การเสียดินแดนของไทย ที่ไม่ได้เกิดจากความพ่ายแพ้ในสนามรบ แต่เกิดจากการเสียเปรียบในโต๊ะเจรจาที่ไม่เคยเท่าเทียมตั้งแต่ต้น

เสียงเงียบที่กลายเป็นข้อกล่าวหา

กฎหมายระหว่างประเทศให้ความสำคัญกับ “พฤติกรรมของรัฐ” มากพอ ๆ กับเอกสารหลักฐาน การไม่คัดค้านในช่วงเวลาหนึ่งอาจตีความได้ว่า “ยอมรับโดยปริยาย” นี่คือหลักที่ศาลโลกใช้พิจารณากรณีเขาพระวิหาร และตัดสินให้พื้นที่นั้นเป็นของกัมพูชา แม้ไทยจะไม่เคยยอมรับแผนที่ Annex I อย่างเป็นทางการก็ตาม

ประเด็นที่เจ็บปวดคือ ความเงียบของไทยในเวลานั้นไม่ได้เกิดจากความเห็นด้วย แต่มาจากการไม่มีอำนาจจะเถียง ไม่มีเวทีให้พูด ไม่มีหลักประกันว่าจะได้ฟัง ถ้าพูดออกไป แถมยังอยู่ในยุคที่เจ้าอาณานิคมถือทั้งแผนที่และอาวุธไว้ในมือพร้อมกัน

และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ การเสียดินแดนของไทย ไม่ควรถูกตัดสินจากความเงียบเพียงอย่างเดียว แต่ควรถูกมองผ่านบริบทของอำนาจที่ไม่สมดุลในเวลานั้นด้วย

เขาพระวิหาร ดินแดน หรืออารมณ์?

การตีความเรื่องเขตแดนระหว่างไทย–กัมพูชา ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของภูมิศาสตร์เท่านั้น แต่มันพ่วงมาด้วยประวัติศาสตร์ ความทรงจำ วัฒนธรรม และความรู้สึกของผู้คนทั้งสองฝั่ง การเสียดินแดนของไทยในกรณีนี้ ไม่ใช่แค่การเสียพื้นที่ไม่กี่ตารางกิโลเมตร แต่คือการเสีย “สิทธิในการตัดสินใจร่วม” และการถูกตีตราว่า “คุณยอมรับแล้ว” โดยไม่เคยได้พูดอะไรเลย

เส้นที่ลากผ่านเขาพระวิหาร ไม่ได้เป็นเพียงเส้นในแผนที่ แต่กลายเป็นเส้นแบ่งความเข้าใจระหว่างสองประเทศ ฝ่ายไทยยึดแนวสันปันน้ำตามหลักธรณีวิทยา ฝ่ายกัมพูชายึดแผนที่ที่ฝรั่งเศสให้ไว้พร้อมอำนาจการปกครอง เส้นทางประวัติศาสตร์จึงแยกออกตั้งแต่ต้น และยังไม่มีวันบรรจบกันจนถึงทุกวันนี้

ถ้าแผนที่เป็นเครื่องมือของอำนาจ แล้วเรายังควรใช้มันตัดสินไหม?

ในโลกของอาณานิคม แผนที่คืออาวุธอีกแบบหนึ่ง เพราะมันมีพลังพอจะตัดสินว่า “ใครเป็นเจ้าของดินแดน” โดยไม่ต้องยิงปืนสักนัด ในกรณีของไทย–กัมพูชา สิ่งที่เจ็บปวดยิ่งกว่า คือ ฝ่ายที่ถูกแย้งกลับไม่มีสิทธิ์ถามว่า “เรามีส่วนร่วมในการวาดแผนที่นี้หรือเปล่า?”

คำถามง่าย ๆ ที่ไม่เคยถูกถามในศาลคือ “ใครมีสิทธิ์วางกรอบตัดสินนี้ตั้งแต่ต้น?” หากแผนที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝรั่งเศสฝ่ายเดียว และไม่ได้ผ่านการลงนามรับรองจากไทยเลย แล้วทำไมมันถึงกลายเป็นหลักฐานชี้ชะตาในศาลได้?

และถ้าเรายังยึดถือแผนที่ที่เกิดจากอำนาจข้างเดียวในยุคอาณานิคมเป็น “หลักฐานที่ชอบธรรม” มันก็เท่ากับว่าเรายังยอมให้ความไม่เท่าเทียมในอดีตมาชี้ชะตาเราในปัจจุบัน

ความเจ็บปวดที่ส่งต่อกันรุ่นต่อรุ่น

การเสียดินแดนของไทย ไม่ได้จบแค่ในห้องประชุมของศาลโลก แต่ลามมาถึงความรู้สึกของประชาชนสองประเทศ คนไทยจำนวนมากยังรู้สึกว่าเราเสียเปรียบ เราไม่ได้รับความยุติธรรม ขณะที่คนกัมพูชาเองก็เชื่อว่าไทยเคยยอมรับแต่กลับปฏิเสธภายหลัง นี่คือความเข้าใจที่สวนทางกันมาตลอด และไม่มีใครอยากฟังอีกฝ่ายอย่างแท้จริง

ความไม่เข้าใจนี้ถูกถ่ายทอดต่อไปในหนังสือเรียน ในข่าว ในสื่อสังคม และในความรู้สึกของผู้คน การเสียดินแดนของไทยจึงไม่ได้เกิดแค่ครั้งเดียว แต่มันเกิดซ้ำทุกครั้งที่เราพูดถึงมัน โดยไม่มีโอกาสได้เปิดโต๊ะคุยกันอย่างเท่าเทียม

ส้นที่ไม่ได้เริ่มจากเรา ไม่ควรจบด้วยคำตัดสินที่เราไม่มีสิทธิ์เลือก

การเสียดินแดนของไทยในกรณีเขาพระวิหาร ไม่ได้เริ่มจากความขัดแย้งระหว่างประชาชนสองชาติ แต่เริ่มจาก “เส้นที่เราวาดไม่ได้” และไม่มีใครให้โอกาสเราแก้ไขย้อนหลัง วันนี้เราอาจไม่มีทางเปลี่ยนคำตัดสินของศาลในอดีตได้ แต่เรามีสิทธิ์ตั้งคำถาม และเล่าเรื่องใหม่จากมุมของคนที่ไม่เคยมีโอกาสพูดมาก่อน

และนั่นคือสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการทวงคืนดินแดน คือการทวงคืน “สิทธิในการอธิบายความจริง” ของเราเอง

Pararin Publishing ตั้งใจเขียนทุกบทความให้คุณได้อ่านแบบไม่มีโฆษณากวนใจ

เพราะเราอยากให้คุณได้อ่านบทความดี ๆ อย่างเต็มที่ ถ้าคุณรู้สึกว่าเนื้อหาของเรามีคุณค่า

สนับสนุนเราได้ด้วยการซื้ออีบุ๊ค หรือร่วมสมทบตามใจคุณ

เพราะทุกการสนับสนุนของคุณ คือพลังที่ทำให้เราสร้างเนื้อหาดี ๆ ได้ตลอดไป