หนึ่งในบทเรียนที่สำคัญที่สุดจากความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในกรณีพื้นที่พิพาท ไม่ได้อยู่ที่ว่าประเทศไหนมีสิทธิ์มากกว่า แต่อยู่ที่ “ใครสามารถเล่าเรื่องของตัวเองได้ดีกว่าในเวทีโลก” และในเกมนี้ กัมพูชาเดินเกมรุกในเชิงการสื่อสารได้อย่างน่าจับตา พวกเขาไม่ได้รบด้วยปืนหรือทหาร แต่รบด้วยคำพูด แถลงการณ์ สื่อ และความเข้าใจผิดที่สามารถถูกส่งต่อได้เพียงปลายนิ้ว
กัมพูชารู้ว่า “ไทย” มีภาพลักษณ์ที่แข็งแรงกว่าบนเวทีระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของเศรษฐกิจ อำนาจทางการทูต หรือกองทัพ นั่นทำให้พวกเขาเลือกใช้วิธี “ดึงให้ไทยโกรธ” เพราะทันทีที่ไทยตอบโต้ด้วยอารมณ์หรือกำลัง เรื่องทั้งหมดจะกลายเป็นชัยชนะในเชิงภาพลักษณ์ให้แก่กัมพูชาทันที
พวกเขาใช้วิธีการที่ไม่ซ้ำซาก เช่น การส่งเอกสารทางการทูตไปยังองค์กรระหว่างประเทศ การจัดนิทรรศการเพื่อสื่อว่าพื้นที่พิพาทคือมรดกของกัมพูชา และแม้แต่การเชิญชวนสื่อต่างชาติเข้าไปเยี่ยมชมพื้นที่ที่เป็นประเด็น เพื่อเล่าเรื่องในมุมที่พวกเขาอยากให้โลกเห็น
สิ่งที่น่าห่วงคือ “ไทย” ในหลายช่วงเวลาเลือกจะเงียบ และการเงียบนั้นกลับกลายเป็นพื้นที่ให้ฝ่ายตรงข้ามใส่ความได้ง่ายขึ้น เมื่อไม่มีคำอธิบายอย่างชัดเจนจากทางการไทยบนเวทีนานาชาติ ความจริงจึงกลายเป็นสิ่งที่ถูกสร้างโดยอีกฝ่าย
แม้ไทยจะมีข้อมูลทางประวัติศาสตร์ เอกสาร และหลักฐานชัดเจนในหลายประเด็น แต่หากไม่สามารถสื่อสารให้ทันกับเกมที่กัมพูชาเล่น เราก็จะตกอยู่ในสภาวะที่ “ถูกตัดสินโดยสื่อ ไม่ใช่โดยความจริง”
คำตอบนั้นง่ายและอันตราย เพราะในเวทีโลก เมื่อประเทศขนาดเล็กแสดงภาพว่าตนเองถูกรังแก ย่อมได้รับความเห็นใจจากสังคมนานาชาติ ยิ่งถ้าประเทศใหญ่กว่าอย่างไทย “ตอบโต้แบบไม่มีชั้นเชิง” ภาพที่ถูกมองจากภายนอกจะกลายเป็นว่าไทยคือผู้ใช้อำนาจในทางที่ไม่สมเหตุสมผล
นี่คือกับดักที่กัมพูชาวางไว้ และไทยจะเดินเข้าไปทุกครั้งหากยังไม่เข้าใจว่า “เวทีโลกไม่ได้ตัดสินจากข้อเท็จจริงล้วน ๆ แต่ตัดสินจากภาพที่เห็นและเรื่องที่เล่าได้ดีกว่า”
แน่นอนว่าการตอบโต้กลับด้วยเอกสารอย่างเป็นทางการเป็นสิ่งจำเป็น แต่ไม่เพียงพออีกต่อไปในยุคข้อมูลข่าวสาร การทูตเชิงรุก การประชาสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการทำให้โลกเข้าใจจุดยืนของไทยจึงต้องเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
“ไทย” ควรมีทีมที่สามารถจัดการข้อมูล สื่อสารในภาษาสากล และทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงของประเทศอย่างเป็นระบบ เราต้องเล่าความจริง ไม่ใช่เพียงเก็บไว้ในแฟ้มเอกสารราชการ
อีกปัจจัยที่ทำให้ไทยเสียเปรียบในการสื่อสารคือ ความขัดแย้งทางการเมืองภายในประเทศ หลายครั้งที่รัฐบาลไทยไม่สามารถมีท่าทีเป็นเอกภาพ เพราะมีกระแสตีกลับจากฝ่ายต่าง ๆ ที่ใช้เรื่องชายแดนเป็นเครื่องมือโจมตีซึ่งกันและกัน
กัมพูชามองเห็นจุดนี้และใช้ประโยชน์โดยการกระตุ้นให้ไทยต้องตอบโต้ในลักษณะที่ขาดความเป็นหนึ่งเดียว และเมื่อนานาชาติมองเข้ามา พวกเขาก็จะเห็นภาพของ “ประเทศที่ตอบโต้ด้วยอารมณ์และความขัดแย้ง” แทนที่จะเป็นประเทศที่ยืนอยู่บนหลักการและข้อเท็จจริง
ไทยในศาลโลก
หนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนภาพนี้อย่างชัดเจนคือ กรณีการต่อสู้เรื่องเขาพระวิหารในศาลโลก ที่แม้ไทยจะมีข้อมูลที่หนักแน่น แต่เพราะการเตรียมตัวที่ไม่ทั่วถึง ความล่าช้า และการตีความที่แตกต่างกันของแต่ละหน่วยงาน ทำให้ไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบในที่สุด
บทเรียนนี้สอนเราว่า “ความจริงที่ไม่ได้พูด ย่อมแพ้ความเท็จที่ถูกเล่าอย่างมีระบบ”
ถึงเวลาที่ไทยจะต้องตระหนักว่า เวทีโลกไม่ใช่สนามรบแบบเก่า แต่คือพื้นที่ของการเล่าเรื่อง การสร้างภาพ และการป้องกันภาพลักษณ์ เราต้องมีโครงสร้างที่สามารถรับมือกับยุทธวิธียั่วยุ ไม่ใช่เพียงแค่ตอบสนองเฉพาะหน้า แต่ต้องวางกลยุทธ์ในระยะยาว
การมีหน่วยงานเฉพาะด้านที่ไม่ติดขัดด้วยระบบราชการ การมีนักการทูตรุ่นใหม่ที่เข้าใจโลกในยุคดิจิทัล และการส่งเสริมความรู้ด้านความมั่นคงทางข้อมูลในทุกภาคส่วน จะช่วยให้ไทยไม่เผลอ “หลงกล” อีกในอนาคต
ในเกมการเมืองระหว่างประเทศ ไทยจำเป็นต้องมองไกลกว่าแค่เส้นเขตแดน เพราะสิ่งที่กำลังถูกท้าทายไม่ใช่แค่แผ่นดิน แต่คือความน่าเชื่อถือ ภาพลักษณ์ และตำแหน่งของเราบนเวทีโลก
หากเราไม่ปรับกลยุทธ์ ไม่เรียนรู้จากอดีต และไม่สร้างระบบการสื่อสารระดับประเทศให้พร้อม ไทยจะกลายเป็นประเทศที่ “มีความจริง แต่ไม่มีใครฟัง” และนั่นอาจเลวร้ายยิ่งกว่าการสูญเสียดินแดนจริง ๆ