สิ่งที่นักเขียนหลายคนเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “ความหลอน” ก็คือคิดว่ามันขึ้นอยู่กับผี หรือเงา หรือฉากโล่ง ๆ ที่มีเสียงลมพัดวูบ แต่ในความจริงแล้ว ความหลอนที่เวิร์กที่สุดกลับไม่ได้มาจากภาพอะไรเลย มันมาจาก “จินตนาการ” ที่นักเขียนค่อย ๆ ปลุกขึ้นในหัวของคนอ่านต่างหาก และนั่นแหละ ที่ยากที่สุดในการเขียน เพราะมันไม่ใช่การบรรยายเพื่อให้ผู้อ่านเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า แต่มันคือการหลอกให้เขาคิดไปไกลกว่าที่ตาเห็นโดยไม่รู้ตัว นักเขียนที่เข้าใจจุดนี้ จะเริ่มวางกลยุทธ์ให้กับแต่ละฉาก ไม่ใช่แค่เขียนตามลำดับเหตุการณ์ แต่จะเลือกใช้ข้อมูลบางอย่างที่ “ไม่ชัด” พอให้สงสัย และ “ไม่เยอะ” จนคนอ่านสบายใจ เทคนิคแบบนี้ใช้ได้ทั้งในนิยายผี นิยายระทึกขวัญ ไปจนถึงนิยายอาชญากรรม เพราะหัวใจของความน่ากลัวไม่ใช่ความรุนแรง แต่คือ “ความไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป”
ลองนึกภาพว่ามีคนเดินผ่านบ้านร้าง นักเขียนทั่วไปอาจใส่เสียงลมหวิว หรือภาพหน้าต่างกระพือ แต่ถ้าเป็นนักเขียนที่เข้าใจเรื่องจังหวะความกลัว เขาอาจไม่ใส่เสียงอะไรเลย ให้บ้านเงียบเกินจริง และปล่อยให้คนอ่านคิดเองว่าข้างในมีอะไร หรือประโยคที่ชวนระแวงอย่าง “เขารู้สึกเหมือนมีใครเดินตามหลัง ทั้งที่ถนนทั้งสายไม่มีแม้แต่เงา” ก็จะปลุกความรู้สึกกังวลได้แบบไม่ต้องบรรยายว่า “มีผี” เลยแม้แต่นิดเดียว เพราะคนอ่านจะคิดภาพเอง และภาพนั้นก็มักจะน่ากลัวกว่าสิ่งที่นักเขียนพยายามใส่เข้าไป
นักเขียนควรรู้ว่าความรู้สึกกลัวของมนุษย์เกิดจาก 3 อย่างหลัก ๆ: หนึ่งคือ ความมืด สองคือ ความไม่รู้ และสามคือ เสียงผิดที่ผิดทาง ถ้านิยายของคุณมีอย่างน้อยหนึ่งในนี้ ก็มีแนวโน้มมากที่จะทำให้คนอ่านรู้สึกกังวลโดยไม่ต้องใช้วิธีโหดร้ายหรือฉากสยองขวัญเลยแม้แต่นิดเดียว เช่น ถ้าจะให้ตัวละครเดินเข้าห้องเก็บของตอนกลางคืน ลองเขียนว่า “ไฟกะพริบสองครั้งก่อนจะดับลง แล้วเงาก็ซ้อนทับลงบนเงาของเขาเอง” ประโยคนี้ไม่ต้องอธิบายว่ามีอะไรเกิดขึ้น แต่จินตนาการของคนอ่านจะต่อเติมเอง และความหลอนจะมาจากตรงนั้น
อีกเรื่องที่นักเขียนหลายคนพลาดคือการเขียนฉาก “ตื่นเต้น” ด้วยการเร่งจังหวะ หรือทำให้มีการไล่ล่า ยิงกัน ตกเขา หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ดูเหมือนมีพลังงานล้น ๆ แต่กลายเป็นว่า คนอ่านกลับเฉย ๆ เหมือนดูฉากแอ็กชันซ้ำ ๆ เพราะ “ความตื่นเต้น” ที่แท้จริง มันมาจากการผูกใจผู้อ่านไว้ก่อนหน้าฉากนั้นต่างหาก ถ้าคนอ่านไม่ได้รู้สึกอินกับตัวละคร ไม่ได้รู้สึกห่วง ไม่ได้รู้สึกว่าเดิมพันครั้งนี้มีอะไรที่เขาสูญเสียได้ ฉากนั้นต่อให้ระเบิดภูเขาเผากระท่อม ก็จะไม่มีความหมาย เพราะมันไม่มีแรงใจของผู้อ่านอยู่ด้วยเลย
นักเขียนที่เข้าใจกลไกนี้ จะไม่เขียนฉากตื่นเต้นเพื่อให้มันตื่นเต้นเฉย ๆ แต่จะเริ่มจากการ “สร้างความคาดหวัง” และ “สร้างเดิมพัน” ก่อน เช่น ให้ผู้อ่านรู้ว่า ตัวละครกำลังทำอะไรบางอย่างที่สำคัญมาก แล้วปล่อยให้มีบางอย่างเข้ามารบกวน หรือแทรกแซง ถ้าเขาแพ้ เขาอาจสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ผู้อ่านจะรู้สึกตื่นเต้นเพราะเขาอยากรู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งต่างจากความรู้สึกตื่นเต้นแบบ “ลุ้นว่าคนจะโดนฆ่ามั้ย” ที่เป็นอารมณ์พื้น ๆ ที่ใครก็เดาได้
อีกเทคนิคที่นักเขียนใช้บ่อยคือการ “ตัดฉากกลางคัน” เพื่อทำให้คนอ่านต้องพลิกหน้าต่อทันที เช่น เขียนว่าตัวละครกำลังจะเปิดประตูที่มีเสียงประหลาดอยู่ข้างใน แล้วตัดไปฉากอื่น โดยยังไม่เฉลยว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นคืออะไร เทคนิคนี้ช่วยให้คนอ่านไม่รู้สึกปลอดภัย และอยากรู้ต่อทันทีโดยไม่ต้องใช้ฉากรุนแรงเลยก็ได้ ซึ่งเหมาะกับนิยายที่ไม่เน้นเลือดสาด แต่ต้องการความระแวงและลุ้นแบบมีชั้นเชิง
บทสรุปของบทความนี้ ไม่ได้ต้องการให้นักเขียนทุกคนไปแต่งเรื่องผี หรือเน้นทำให้คนกลัว แต่ต้องการบอกว่า เทคนิคของความหลอนและความตื่นเต้นเหล่านี้คือ “เครื่องมือ” ที่สามารถยืดหยุ่นและประยุกต์ใช้กับทุกแนวของนิยายได้ ไม่ว่าจะเป็นดราม่า ชีวิตรัก อาชญากรรม หรือแม้แต่แนวพลังจิต ถ้าคุณเข้าใจโครงสร้างของอารมณ์คนอ่าน และรู้จังหวะว่าจะกระตุกหรือหยุดเมื่อไหร่ นิยายของคุณก็จะไม่น่าเบื่อ และสามารถพาผู้อ่านเข้าไปอยู่ในโลกที่คุณสร้างได้จริง ๆ แบบไม่ต้องพยายามมากเกินไป
ถ้าคุณคือนักเขียนที่อยากเขียนให้น่ากลัว ลุ้น และน่าติดตาม ขอให้เริ่มจากการฟังจังหวะหัวใจของผู้อ่าน ไม่ใช่แค่เสียงหัวใจของตัวละคร