หนึ่งในทักษะที่นักเขียนบทภาพยนตร์ต้องฝึกให้ช่ำชอง คือ การเขียนบรรยายฉาก โดยเฉพาะในหนังแนวระทึกขวัญหรือสยองขวัญ เพราะฉากที่ดีไม่ใช่แค่ภาพที่สวยหรือเหตุการณ์ที่น่าตกใจ แต่คือการทำให้คนดู “รู้สึก” ไปกับมันแบบหายใจไม่ทั่วท้อง บางครั้งแค่เสียงฝีเท้าในความมืด หรือฉากที่ไม่มีใครพูดอะไรเลย ก็ทำให้คนดูนั่งเกร็งทั้งโรงได้แล้ว
หลายคนเข้าใจผิดว่าฉากหลอนคือการใส่ผี ใส่เลือด ใส่เสียงดังโครมคราม ความจริงแล้วสิ่งที่ทำให้คนกลัว ไม่ใช่สิ่งที่เห็น แต่คือ สิ่งที่ “น่าจะ” เกิดขึ้น แต่ยังไม่เกิดต่างหาก
เทคนิคง่าย ๆ ที่นักเขียนมืออาชีพใช้คือ “ทิ้งเงื่อนไขบางอย่างไว้ในหัวคนดู” เช่น เด็กคนนี้ไม่ควรเข้าไปในห้องนอนตอนกลางคืน แต่เขากำลังเดินไปเปิดประตูทีละนิด เรารู้ว่าในนั้นมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ — แต่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่มันจะโผล่มา ความกลัวตรงนี้แหละ ที่ทำให้คนดูแทบลืมหายใจ
การเขียนบรรยายฉากตื่นเต้น ไม่ได้แปลว่าเราต้องมีฉากยิงกัน ไล่ล่ากัน หรือรถระเบิดตลอดเวลา สิ่งที่ทำให้คนลุ้นจริง ๆ คือ “ผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้น” ถ้าใครสักคนเลือกผิดพลาด เช่น พระเอกแอบเข้าไปในห้องของฆาตกร แล้วบังเอิญเตะขวดตกพื้น กล้องตัดไปที่ใบหน้าของฆาตกรที่นั่งอยู่อีกฝั่งของบ้าน พร้อมเสียงฝีเท้าที่เงียบลง… แค่นี้ก็พอจะทำให้คนดูจิกเบาะได้แล้ว
นักเขียนนิยาย มีเครื่องมือมากมายในการสร้างบรรยากาศ ทั้งคำบรรยาย ความคิดในหัวตัวละคร และจังหวะการเขียน แต่ นักเขียนบทภาพยนตร์ ต้องคิดให้ออกว่าภาพและเสียงแบบไหน จะสื่อสารอารมณ์นั้นได้ในเวลาไม่กี่วินาที
ถ้าในนิยายจะเขียนว่า “หัวใจของเธอเต้นแรงเมื่อได้ยินเสียงกระซิบจากด้านหลัง ทั้งที่เธออยู่คนเดียวในห้องมืดสนิท” ในบทภาพยนตร์จะเขียนได้แค่:
INT. ห้องนอนกลางคืน – มืดสนิท
เธอหยุดนิ่ง หายใจขัด เสียงกระซิบดังแว่วจากมุมห้อง ทั้งที่ไม่มีใครอยู่เลย
การเขียนบทภาพยนตร์จึงต้องแม่นยำ กระชับ และ “เห็นภาพได้ทันที” ซึ่งต่างจากการเขียนนิยายที่ใช้เวลาไล่ระดับอารมณ์ได้มากกว่า
ฉากหลอนไม่จำเป็นต้องมีผีเสมอไป บางครั้งแค่การใช้ สถานที่ที่คุ้นเคยแต่ผิดปกติเล็กน้อย ก็ทำให้คนดูรู้สึกได้ทันที เช่น บ้านเงียบเกินไป ไฟกระพริบ ทั้งที่ไม่มีลม หรือเสียงโทรศัพท์ดังตอนตีสาม ทั้งที่ไม่มีใครควรโทรมา
เทคนิคที่ใช้บ่อย:
บรรยากาศ คือสิ่งที่ทำให้ฉากหนึ่ง “รู้สึกหลอน” โดยไม่ต้องมีอะไรน่ากลัวจริง ๆ นักเขียนบทภาพยนตร์ที่เก่งจะรู้ว่า แค่เปลี่ยนแสง เปลี่ยนจังหวะ หรือเพิ่มเสียงบางอย่าง ก็สามารถเปลี่ยนอารมณ์ของฉากทั้งหมดได้ทันที
ลองสังเกตหนังสยองขวัญดี ๆ จะพบว่าหลายฉากไม่มีใครพูด ไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ แต่กล้องแค่แพนช้า ๆ ผ่านทางเดินยาว ๆ ที่ไม่มีคน เรากลับกลัวขึ้นมาเฉย ๆ เพราะผู้เขียนรู้จักการควบคุมอารมณ์ด้วยภาพและเสียงมากกว่าคำพูด
ต่อให้คุณเป็นนักเขียนที่เชี่ยวชาญด้านนิยาย ถ้าจะขยับมาเขียนบทภาพยนตร์ คุณต้องฝึกมองโลกผ่านเลนส์กล้อง และถามตัวเองเสมอว่า…
การเขียนบทภาพยนตร์ไม่ใช่แค่เขียนเรื่องให้ดี แต่คือการ “ออกแบบอารมณ์” ให้ชัดเจนตั้งแต่ในกระดาษ เพราะทุกบรรทัดจะถูกตีความไปเป็นภาพจริงทั้งหมด
ถ้าคุณคือ นักเขียน ที่อยากขยับจากนิยายมาเขียนบทภาพยนตร์ หรืออยากเขียน ฉากหลอน และ ฉากตื่นเต้น ให้น่ากลัวจริง ไม่ใช่แค่ใส่ผีหรือเสียงดัง ขอให้เริ่มจากการฝึก “วางจังหวะ” และ “ควบคุมอารมณ์” ของคนดูให้ได้ก่อน ไม่ต้องรีบเฉลยทุกอย่าง แต่ค่อย ๆ สร้างความไม่มั่นคงในใจ แล้วคุมมันให้เนียนเหมือนคนกำกับหนังเอง
การเขียนบรรยายฉาก ไม่ใช่แค่การเล่าว่าเกิดอะไรขึ้น แต่คือการชี้ให้คนดูไปเห็น และทำให้พวกเขารู้สึกโดยไม่ต้องพูดว่า “กลัวนะ ลุ้นนะ” ถ้าคุณทำได้ คนอ่านบทหรือคนดูหนังของคุณจะไม่มีวันลืมฉากเหล่านั้นไปตลอดชีวิต
บทความนี้อาจทำให้คุณเห็นภาพว่า การเขียนบรรยายฉาก ให้น่ากลัวหรือลุ้นระทึกนั้น ต้องอาศัยอะไรมากกว่าคำว่า “ผี” หรือ “เสียงดัง” แต่ถ้าคุณคือ นักเขียน ที่อยากลงลึกไปอีกขั้น อยากเขียน นิยาย หรือ บทภาพยนตร์ ที่มีพลังพอจะทำให้ผู้อ่านและคนดูรู้สึกหนาวสันหลังโดยไม่รู้ตัว หนังสือเล่มนี้อาจเป็นเครื่องมือที่คุณตามหามานาน
ในเล่มนี้ คุณจะได้เรียนรู้:
และยังมี แบบฝึกเขียน: สำหรับเขียนฉากหลอนและฉากตื่นเต้น ที่ใช้ได้จริงทันที ไม่ว่าคุณจะกำลังเขียนบทซีรีส์ เขียนนิยายลงเว็บ หรือเตรียมเสนอโปรเจกต์กับโปรดิวเซอร์
เพราะบางครั้ง ความน่ากลัวที่สุด… คือสิ่งที่ไม่ได้ถูกเขียนตรง ๆ แต่คุณสามารถ “ทำให้คนรู้สึก” มันได้ ด้วยเทคนิคที่อยู่ในมือคุณ