มันไม่ใช่ทุกคนที่จะลุกขึ้นมาขายของออนไลน์ได้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะยอมเอาเงินก้อนสุดท้ายไปลงแชร์ลูกโซ่ หรือเรียนเทรดคริปโตแล้วรวยในสามวัน หลายคนแค่มีเงินติดบัญชีหลักพัน มีหนี้บัตรอยู่ และกลัวจะมีโทรศัพท์จากเจ้าหนี้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ก็ยังรู้ตัวดีว่าไม่อยากหลอกใคร ไม่อยากเป็นนักขาย และไม่อยากเสี่ยงกับอะไรที่ตัวเองไม่เข้าใจ
คำว่า “หาเงินเสริม” สำหรับบางคน ไม่ได้หมายถึงการเป็นแม่ค้าออนไลน์หรือเล่นหุ้น มันคือการพยายามเอาตัวรอดแบบไม่ต้องโกหกใคร ไม่ต้องทนทำในสิ่งที่เกลียด และไม่ต้องพาตัวเองเข้าไปในวังวนใหม่ที่หนักกว่าเดิม
เพราะเมื่อเราเปิด YouTube หรือ Facebook ก็มีแต่คนบอกให้เรา “ลงทุนในตัวเอง” “เริ่มจากขายอะไรก็ได้ก่อน” หรือ “ลองเทรดดูสิ เงินแค่ 500 ก็เริ่มได้แล้ว” แต่ไม่มีใครสักคนบอกว่า ถ้าเราไม่มีของจะขาย ไม่มีทักษะทางเทคนิค ไม่มีเวลาว่างมากนัก และไม่อยากยุ่งกับโลกที่ต้องแสดงตัวตลอดเวลา เราจะทำอะไรได้บ้าง
นี่คือจุดที่ GPT กลายเป็นทางออกที่หลายคนไม่รู้ว่ามันอยู่ใกล้มือขนาดนี้
สิ่งที่ GPT ทำได้ดี คือการวิเคราะห์ปัญหาในชีวิตที่ดูเหมือนไม่มีทางออก แล้วแยกย่อยให้เราเห็นมุมที่เราไม่เคยมอง ไม่ว่ามันจะเป็นทรัพยากรที่เรามีอยู่แล้ว เช่น ความถนัดเล็ก ๆ บางอย่าง ประสบการณ์ที่เราเคยผ่าน หรือแม้แต่สิ่งที่เรามีอยู่ในบ้านที่สามารถแปรรูปเป็นเงินได้
แต่ GPT ไม่ใช่หมอดู มันไม่สามารถทำนายอนาคตหรือรับประกันว่าทุกอย่างจะราบรื่น มันแค่ช่วยให้เรามองเห็น “ความเป็นไปได้” ที่เรายังไม่กล้าคิด หรือไม่เคยคิดว่าเป็นจุดเริ่มต้นได้
คนส่วนใหญ่มักจะถาม GPT ด้วยคำถามที่กว้างเกินไป เช่น “หาเงินจากอะไรดี” หรือ “ทำอะไรเสริมดีครับ” คำตอบที่ได้ก็คืออาชีพยอดฮิตที่เห็นในทุกเว็บ ไม่ต่างอะไรจาก Google
แต่ถ้าเราป้อนข้อมูลที่ละเอียดมากพอ เช่น “มีเวลาว่างแค่วันละ 1 ชั่วโมง ไม่มีทักษะขายของ ไม่อยากลงทุน มีคอม 1 เครื่องกับมือถือ 1 เครื่อง ทำงานประจำที่เงินไม่พอใช้” แล้วถามว่า “มีทางไหนบ้างที่เหมาะกับเงื่อนไขแบบนี้” GPT จะเริ่มแสดงศักยภาพที่แท้จริงออกมา
และนั่นแหละคือจุดที่มันกลายเป็น “เพื่อนที่ช่วยคิด” ไม่ใช่แค่เครื่องมือที่ตอบคำถามโง่ ๆ
สมมติเรามีประสบการณ์เคยทำรายงาน เคยเขียนบทความ เคยช่วยเพื่อนพิมพ์งาน เคยจัดไฟล์ excel ได้แบบพอเข้าใจ GPT อาจแนะนำให้ลองทำงานเล็ก ๆ เช่น ตรวจคำผิดในเอกสารภาษาไทย เขียนคำบรรยายสินค้าในรูปแบบที่มีคนจ้าง หรือแม้แต่ช่วยวางแผนจัดเก็บข้อมูลให้กับคนที่ไม่มีระเบียบในชีวิตเลย
ฟังดูเหมือนไม่ได้เงินเยอะ แต่มันคือจุดเริ่มต้นของการมีรายได้เสริมโดยไม่ต้องลงทุน ไม่ต้องหลอกใคร และไม่ต้องเล่นแชร์
GPT ทำหน้าที่เหมือนคนที่ตั้งคำถามเก่ง มันจะถามกลับในบางครั้ง เช่น “คุณสะดวกทำงานออนไลน์วันละกี่ชั่วโมง” หรือ “คุณโอเคกับการพูดคุยกับลูกค้าหรือไม่” แล้วค่อยไล่ทางเลือกที่เหมาะที่สุดให้ ถ้าเราตอบมันให้ดี มันจะตอบเราดีขึ้นเรื่อย ๆ
ตรงนี้แหละที่หลายคนพลาด เพราะเอา GPT ไปใช้เหมือนเว็บดูดวง ไม่ใช่เครื่องมือวางแผน
คำตอบคือ: แล้วแต่คน ถ้าคุณหวังจะได้ “ทางลัด” หรือ “รายได้ 6 หลัก” ในสามวัน GPT จะทำให้คุณผิดหวัง แต่ถ้าคุณแค่ต้องการแนวทางที่ปลอดภัย เป็นไปได้ และเริ่มต้นได้ด้วยสิ่งที่มีอยู่ GPT จะทำให้คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้จนเกินไป ไม่โง่เกินไป และไม่ไร้ทางเลือกอย่างที่เคยเชื่อ
สิ่งสำคัญคือ ต้องถามให้เป็น และต้องอดทนดูคำตอบที่มันอาจจะดูธรรมดา แต่นำไปใช้ได้จริง
ถ้าเราเปิดแชท GPT แล้วพิมพ์แค่ “หาเงินหน่อยสิ” มันจะตอบด้วยคำตอบที่ใคร ๆ ก็หาได้ แต่ถ้าเราพิมพ์อย่างละเอียด รู้จักเล่าปัญหาเหมือนเวลาไปปรึกษาเพื่อนที่เข้าใจชีวิต คำตอบที่ได้จะเปลี่ยนไปมาก และบางครั้งมันอาจทำให้เราหยุดนั่งเงียบแล้วคิดว่า “เออ จริงด้วยแฮะ”
คนที่คิดว่าตัวเองไม่มีอะไรเลย บางทีก็ลืมไปว่าตัวเองเคยดูแลยายที่ป่วย เคยช่วยพ่อแม่ทำบัญชีร้าน เคยพิมพ์ใบงานให้ลูก เคยจัดกระเป๋าไปเที่ยวให้เพื่อน หรือแม้แต่เคยช่วยจัดลำดับการทำงานให้คนอื่น
สิ่งเหล่านี้อาจเป็นทักษะที่แปรเป็นบริการได้ ถ้าเราให้ GPT ช่วยขุดขึ้นมา แล้วปรับมันให้กลายเป็น “จุดขายเล็ก ๆ” ที่คนบางคนในโลกนี้ต้องการ
คนที่ไม่อยากขายของ ไม่อยากโกหก ไม่อยากเสี่ยง แต่ก็อยากมีรายได้เพิ่ม ยังมีทางอยู่เสมอ แค่ต้องกล้าพอที่จะเปิดบทสนทนากับ GPT ด้วยข้อมูลจริง ๆ เกี่ยวกับตัวเอง แล้วให้มันช่วยคิด ไม่ใช่แค่ช่วยตอบ
ถ้ายังไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน หนังสือ “ChatGPT ทำได้มากกว่าที่คุณเคยคิด” มี prompt ที่ออกแบบมาให้มันเข้าใจเราจริง ๆ ไม่ใช่ prompt ที่ลอย ๆ แล้วหวังว่ามันจะเดาใจถูก อย่าคาดหวังว่า GPT จะให้เงิน แต่คาดหวังว่ามันจะช่วยให้คุณ “เห็นทาง” ที่เดินแล้วไม่ต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่คุณไม่อยากเป็น