บางคนเรียนไม่จบสายที่ใช้งานอยู่ บางคนเปลี่ยนสายกลางทางแบบไม่มีไกด์ และอีกจำนวนมากคือคนที่ต้องทำงานกับเรื่องใหม่ ๆ ตลอดเวลา โดยไม่มีเวลาศึกษาอะไรให้ลึกมากพอจะเข้าใจอย่างแท้จริง แต่สุดท้ายก็ยังต้องใช้มันตัดสินใจ ต้องเอาไปพรีเซนต์ ต้องเอาไปเขียนรายงาน หรือแม้แต่ต้องตอบคำถามให้เหมือน “รู้เรื่อง” ทั้งที่จริงแล้วไม่เคยมีเวลาทำความเข้าใจอะไรเลยอย่างที่ควรจะเป็น
ในโลกการทำงานจริง ไม่มีเวลาสำหรับการเรียนซ้ำ ไม่มีใครรอให้เราเข้าใจคอนเซปต์ก่อนจะเริ่มทำ ไม่มีเจ้านายคนไหนให้เวลาทำรายงาน 3 วันเพื่อไปอ่านบทความต้นฉบับภาษาอังกฤษ หรือคลิป YouTube ยาว 2 ชั่วโมงจบแล้วค่อยสรุป เพราะเขาอยากได้ผลลัพธ์ทันที ไม่ใช่กระบวนการของเรา
และนั่นแหละคือปัญหาที่คนจำนวนมากกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้
หลายคนรู้ว่า ChatGPT ใช้สรุปเนื้อหาได้ แต่พอเอาสรุปไปใช้งานจริง กลับรู้สึกเหมือนไม่ได้เข้าใจอะไรเลย เพราะสิ่งที่ GPT สรุปให้มันยังคงอยู่ในรูปแบบของ “ข้อมูล” ไม่ใช่ “ความเข้าใจที่แปลงสภาพแล้ว”
สรุป 5 ข้อของบทความวิชาการหนึ่งเรื่อง อาจทำให้รู้หัวข้อสำคัญ แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะสามารถเอามันไปพูดให้ลูกค้าฟังได้ หรือเอาไปเขียนเป็นแผนเสนอได้ เพราะภาษาของงานวิชาการ หรือภาษาของการสรุป ยังไม่ใช่ภาษาที่เราใช้จริงในบริบทงานของเรา
ความท้าทายมันอยู่ตรงนี้
ChatGPT จึงไม่ได้มีประโยชน์แค่ตรงที่ “ช่วยสรุปให้เร็ว” แต่คือ “ช่วยแปลงภาษายากให้กลายเป็นภาษาที่เราใช้ได้ทันที” และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมมันถึงกลายเป็นอาวุธลับของคนที่ไม่มีเวลาเรียนรู้อะไรลึก ๆ แต่ต้องทำงานให้รอดอยู่ทุกวัน
ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าเราต้องเข้าใจเรื่อง Carbon Credit เพื่อไปเขียนอีเมลให้ลูกค้าญี่ปุ่นในเช้าวันพรุ่งนี้ แต่ยังไม่เคยรู้เลยว่า Carbon Credit คืออะไร มีเวลาวันนี้แค่ช่วงเย็นตอนรถติดเท่านั้น หลายคนจะพยายามเสิร์ช เปิดคลิป ดูบทความภาษาอังกฤษ อ่าน wiki แล้วจดหัวข้อย่อเอาไว้ แต่พอจะเขียนอีเมลจริง ก็เขียนไม่ออก เพราะมันยังไม่กลายเป็น “ของเรา”
GPT ไม่ได้แค่สรุป 5 หัวข้อให้เราจบ แต่มันสามารถช่วยแปลงข้อมูลที่เรายังไม่เข้าใจ ให้กลายเป็นภาษาที่เราใช้งานจริงได้ เช่น ช่วยร่างอีเมลให้ในบริบทนั้น ช่วยเขียนบรีฟให้นักออกแบบ ช่วยอธิบายให้คนไม่รู้เรื่องเข้าใจใน 3 ย่อหน้า หรือแม้แต่แปลงเรื่องเทคนิคให้กลายเป็นบทพูดแบบไม่วิชาการ
ทั้งหมดนี้ทำได้ ถ้าเราใช้ ประโยคคำสั่ง (prompt) ที่ถูกต้อง และชัดเจนพอให้ GPT เข้าใจว่า “เราจะเอาไปทำอะไร” ไม่ใช่แค่ “เราต้องการสรุปเรื่องอะไร”
สิ่งที่คนส่วนใหญ่พลาดคือการใช้คำสั่งแบบกว้าง ๆ เช่น “ช่วยสรุปเรื่อง AI ให้หน่อย” หรือ “อธิบายเรื่องโซลาร์เซลล์แบบเข้าใจง่าย” ซึ่ง GPT ก็จะให้ข้อมูลมาจริง แต่ยังไม่เข้าใจว่าคุณจะเอาไปใช้กับใคร ใช้ในสถานการณ์แบบไหน และต้องการความยาวประมาณเท่าไหร่
แต่ถ้าคุณเล่าว่า “ต้องพูดเรื่องนี้กับลูกค้าอายุ 50 ปี ที่ไม่รู้เรื่องเทคโนโลยีเลย” หรือ “ต้องเขียนอีเมลแนะนำสินค้าให้กับคนที่ไม่มีพื้นฐานด้านวิศวกรรม” หรือ “จะต้องเอาไปพูดในคลาสเรียนแบบไม่ให้เด็กเบื่อ” GPT จะปรับภาษา โทน และจังหวะการเล่าให้เหมาะกับงานนั้นทันที เหมือนมีคนรู้จักเรา และเข้าใจข้อจำกัดของสถานการณ์ทั้งหมด
ซึ่งการจะให้ GPT ทำแบบนั้นได้ ต้องใช้ “ประโยคคำสั่ง (prompt)” แบบพิเศษที่เราออกแบบมาให้มันเข้าใจบริบทของเราโดยไม่ต้องเดา และทั้งหมดนี้อยู่ในหนังสือ ChatGPT ทำได้มากกว่าที่คุณเคยคิด ที่เขียนมาเพื่อคนที่ไม่มีเวลา แต่ต้องทำงานให้รอดจริง ๆ
การใช้ GPT แปลงข้อมูลเป็นภาษาทำงาน ไม่ใช่การโกงความรู้ หรือหลอกตัวเอง แต่มันคือการบริหารทรัพยากรที่มีอย่างจำกัด ให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพที่สุด โดยไม่ต้องเสียเวลาศึกษาให้ครบทุกแง่มุม
ในชีวิตจริง เราไม่มีเวลาทำความเข้าใจทุกเรื่องที่ต้องใช้งาน เราไม่มีทางรู้ลึกไปเสียหมดในทุกโปรเจกต์ที่รับผิดชอบ และเราไม่มีพลังจะนั่งแปลงบทความอังกฤษยาก ๆ ให้เป็นสไลด์สวย ๆ ได้ทุกสัปดาห์
สิ่งที่ทำได้คือหาวิธีเอาตัวรอดแบบฉลาด และ GPT คือเครื่องมือที่ทำแบบนั้นได้จริง ถ้าเราใช้งานมันอย่างถูกวิธี
ไม่ว่าคุณจะต้องใช้ความรู้ไปสอน ไปพรีเซนต์ ไปอธิบาย ไปขาย หรือไปวางแผน การไม่มีเวลาเรียนรู้แบบลึก ๆ ไม่ใช่ข้อเสียอีกต่อไป ถ้ามี ChatGPT อยู่ในมือ และรู้ว่าจะใช้มันยังไงให้เข้าใจเรา
อย่ามัวเสียเวลาค้นหาอะไรด้วยคำถามเดิม ๆ ที่ใช้กับ Google แล้วหวังว่าจะได้คำตอบเฉพาะทาง สิ่งที่คุณต้องมีคือ “ประโยคคำสั่ง (prompt)” ที่ออกแบบมาเพื่อบอก GPT ว่าเราจะเอาข้อมูลนั้นไปทำอะไร ใครคือกลุ่มเป้าหมาย น้ำเสียงแบบไหนที่ต้องการ และความยาวประมาณไหนที่ใช่
คำสั่งเหล่านี้ไม่ได้อยู่บนอินเทอร์เน็ตทั่วไป เพราะมันออกแบบมาเพื่อ “คนที่ต้องเอาไปใช้จริง” เท่านั้น และคุณจะหาได้เฉพาะในหนังสือ ChatGPT ทำได้มากกว่าที่คุณเคยคิด ที่รวมทุกสถานการณ์ที่มนุษย์ยุคนี้ต้องเจอ แต่ไม่มีเวลาเรียนรู้แบบลึกซึ้ง
คุณไม่ต้องรู้เยอะ แต่คุณต้องรู้วิธีคุยกับ GPT ให้ตรง และมันจะทำให้คุณ “ดูเก่งขึ้น” ทั้งที่คุณยังเป็นคนเดิม เพียงแต่มีผู้ช่วยที่พูดรู้เรื่องเสียที.