หลายคนไม่ได้เกลียดการเรียนรู้ แต่เกลียดความรู้สึกที่ว่า “เรียนไปก็เท่านั้น” เพราะสุดท้ายมันไม่ได้พาไปไหน เราอ่านหนังสือ ดูคลิป ฟังพอดแคสต์ จดสรุปตามคนอื่น ทำครบทุกอย่างแล้ว แต่กลับยังรู้สึกเหมือนอยู่ที่เดิม ความมั่นใจไม่เพิ่มขึ้น ความสามารถไม่จับต้องได้ และสิ่งที่แย่กว่าความไม่เก่ง คือการไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะเริ่มจากตรงไหนเพื่อให้ “เก่งขึ้น” จริง ๆ สักที
ปัญหาคือคนส่วนใหญ่เริ่มต้นการเรียนรู้ด้วยการเดินตามทางของคนอื่น ไม่ใช่เพราะอยากลอกเขา แต่เพราะไม่รู้จะเริ่มวางเส้นทางของตัวเองยังไง มันง่ายกว่าที่จะพิมพ์หา “วิธีเก่งไว ๆ” แล้วคลิกตามลิงก์ที่แชร์เยอะสุด มากกว่าจะมานั่งลำดับว่าเรารู้อะไรอยู่แล้ว ขาดอะไร และอยากได้ผลลัพธ์แบบไหนกันแน่ ซึ่งพอเรามองไม่ออกตั้งแต่แรกว่ากำลังจะไปที่ไหน มันก็ไม่แปลกที่พอเดินไปไกลแล้วจะเริ่มหลง
นี่แหละคือสิ่งที่ ChatGPT ทำได้ และน่าจะทำได้ดีกว่าการลองผิดลองถูกคนเดียว
หลายคนพลาดตั้งแต่จุดแรก เพราะคิดว่า ChatGPT คือ “แหล่งความรู้” เหมือน Google หรือ YouTube แต่จริง ๆ แล้วมันคือ “ตัวช่วยออกแบบแผนการเรียนรู้” ที่จะคิดแทนเราบางขั้นตอน เพื่อให้เราเอาเวลาไปลงมือทำกับเนื้อหาที่ตรงประเด็นมากขึ้น เพราะมันไม่ใช่แค่เครื่องมือหาข้อมูล แต่มันสามารถ “ตั้งคำถาม” กลับมาหาเรา แล้วค่อย ๆ สร้างเส้นทางที่เฉพาะกับเราแบบรายบุคคล
ถ้าเราบอก GPT แบบเลื่อนลอย เช่น “ช่วยให้ฉันเก่งภาษาอังกฤษ” มันก็จะให้คำตอบแบบทั่วไป เพราะคำถามของเราก็ทั่วไป แต่ถ้าเราสื่อสารให้ชัดว่า “อยากเก่งในบริบทไหน”, “เป้าหมายคืออะไร”, “มีพื้นฐานแค่ไหน” และ “ต้องใช้เมื่อไหร่” มันจะสร้างแผนที่เรียงตามลำดับขั้น พร้อมตัวอย่าง บทฝึก ฝึกซ้อมที่เหมาะกับสไตล์การเรียนรู้ของเรา ซึ่งประเด็นคือ คนส่วนใหญ่ไม่รู้วิธีตั้งประโยคให้มันเข้าใจได้ขนาดนั้น และนั่นคือเหตุผลที่เรารวบรวม “ประโยคคำสั่ง (prompt)” ที่แม่นยำไว้ในหนังสือ ChatGPT ทำได้มากกว่าที่คุณเคยคิด เพื่อให้คุณไม่เสียเวลากับคำตอบครึ่ง ๆ กลาง ๆ ที่ไม่ตรงกับชีวิตจริง
ลองนึกภาพว่าคุณอยากพัฒนาตัวเองด้านการสื่อสาร แต่ไม่มั่นใจว่าต้องเริ่มจากเรียนการพูด การฟัง การเขียน หรือฝึกความมั่นใจดี? ถ้าไปเปิดหาเอง คุณจะเจอบทความมากมายที่แต่ละคนก็แนะนำต่างกัน แล้วมันจะยิ่งสับสน เพราะคุณไม่แน่ใจว่าแบบไหนเหมาะกับคุณจริง ๆ
แต่ถ้าคุณพิมพ์ให้ GPT ฟังว่า “ตอนนี้ทำงานตำแหน่งอะไร ใช้ทักษะไหนบ่อย เคยพลาดเพราะอะไร และอยากพัฒนาตัวเองเพื่อใช้ในสถานการณ์แบบไหน” มันจะจัดกลุ่มให้คุณเห็นว่าควรเริ่มตรงไหนก่อน แล้วค่อยลำดับไปเรื่องไหน และถ้าคุณอยากให้มันแนะนำทรัพยากรที่ไม่เสียเวลา มันก็จะบอกได้ว่าจะอ่านอะไร ฟังอะไร หรือฝึกแบบไหนในแต่ละสัปดาห์
สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่คุณไม่สามารถหาจาก Google ได้ เพราะ GPT ไม่ได้ให้คำตอบที่คนอื่นใช้ แต่มันตอบแบบที่คุณควรใช้ ถ้าคุณสื่อสารกับมันในแบบที่มันเข้าใจ
อีกหนึ่งสิ่งที่ GPT ช่วยได้คือการตัด noise หรือข้อมูลที่ไม่จำเป็นออกจากชีวิตเรา ทุกวันนี้ปัญหาของคนที่อยากเก่งขึ้นคือมีทางเลือกเยอะเกินไป จนไม่รู้ว่าอะไรคือแกนหลัก และอะไรคือส่วนที่แค่เบี่ยงเบนความสนใจ พอเราให้ GPT ช่วยลำดับเส้นทาง มันจะช่วยชี้ว่าควรข้ามอะไรได้เลย และควรโฟกัสอะไรให้แน่นก่อน ซึ่งตรงนี้จะประหยัดเวลาไปได้มหาศาล และลดความเหนื่อยล้าทางใจที่เกิดจากการเปลี่ยนเป้าหมายบ่อยเพราะไม่แน่ใจ
GPT ไม่เคยบอกให้คุณเป็นแบบใคร มันจะไม่ลากคุณไปสู่เป้าหมายของคนอื่น มันแค่เสนอทางเลือกที่เชื่อมกับสิ่งที่คุณพิมพ์ไป ถ้าคุณมีความสับสน มีหลายเป้าหมาย หรือยังลังเลหลายด้าน มันจะช่วยไล่ข้อมูลในหัวคุณให้ออกมาเป็นหมวดหมู่ที่จัดการได้ พอคุณเห็นภาพชัดขึ้น การตัดสินใจก็จะง่ายขึ้น และการลงมือทำก็ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวอีกต่อไป
คุณไม่ต้องเป็นนักวางแผน ไม่ต้องมีไลฟ์โค้ช ไม่ต้องรู้เทคนิค productivity ก็สามารถวางแผนพัฒนาตัวเองให้ตรงทางได้ ถ้าคุณรู้จักใช้ GPT อย่างที่มันควรจะเป็น ไม่ใช่แค่ถามตอบทั่วไปเหมือนในโซเชียล แต่ต้องสื่อสารแบบลึกพอ และจริงพอ จึงจะได้คำตอบที่ทรงพลัง
และที่สำคัญคือ คุณไม่จำเป็นต้องเริ่มจากศูนย์ หรือเริ่มใหม่ทั้งหมด ขอแค่เริ่มจากตรงที่คุณอยู่ แล้วเล่าให้มันฟัง มันจะช่วยคุณมองเห็นสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วว่ามันใช้งานยังไงได้บ้าง แล้วค่อยวางเป้าหมายถัดไปอย่างชัดเจนขึ้น
ใครที่กำลังรู้สึกว่าอยากเก่งขึ้น แต่เหนื่อยกับการเริ่มต้นแบบมั่ว ๆ หรือเสียเวลาวนไปกับการลองเรียนหลายแบบแต่ไม่ได้อะไรกลับมา ขอให้รู้ไว้ว่าเส้นทางที่เหมาะกับคุณมีอยู่ เพียงแต่อาจยังไม่เคยมีใครช่วยคุณสร้าง
และถ้าคุณอยากให้ ChatGPT เป็นผู้ช่วยคนนั้น “ประโยคคำสั่ง (prompt)” ที่จะพาคุณไปสู่การออกแบบเส้นทางพัฒนาตัวเองเฉพาะตัวแบบเป็นระบบ ถูกเขียนไว้แล้วใน หนังสือ ChatGPT ทำได้มากกว่าที่คุณเคยคิด ไม่ต้องเสียเวลาเดินอ้อมอีกต่อไป แค่เริ่มให้ถูกจุด ทุกอย่างจะค่อย ๆ ชัดขึ้นเอง.