ประเด็นดินแดนพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชานั้น กลายเป็นเรื่องร้อนแรงในสังคมไทยเสมอ โดยเฉพาะเมื่อมีเหตุการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดน แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ หรือไม่เคยมีใครบอกให้ลึกซึ้งพอ คือ “ต้นตอของปัญหา” ดินแดนพิพาทหลายจุด ไม่ได้เกิดจากการรุกล้ำของเพื่อนบ้านเพียงฝ่ายเดียว หากแต่มาจากความสะเพร่าของระบบภาครัฐไทยที่นิ่งเฉย ซ้ำยังขาดท่าทีตอบโต้ในเวลาที่ควรทำ
การพูดถึงดินแดนพิพาทโดยไม่เปิดโปงความผิดพลาดในอดีต คือการซ้ำเติมความสับสนของคนรุ่นหลัง และทำให้ประชาชนเข้าใจว่าประเทศไทยตกเป็น “เหยื่อ” เสมอ ทั้งที่ในความเป็นจริง หลายกรณี รัฐไทยเองต่างหากที่ปล่อยให้เพื่อนบ้านมีช่องใช้แผนที่ฝ่ายเดียว ยื่นคำร้องต่อศาลระหว่างประเทศ และกลายเป็นผู้ได้เปรียบในทางกฎหมายระหว่างประเทศโดยไม่ต้องรบ
แผนที่ 1:200,000 ที่มักถูกใช้เป็นหลักฐานโดยฝั่งกัมพูชา เป็นแผนที่ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นในยุคล่าอาณานิคม และแจกให้ไทยใช้โดยไม่มีการเจรจาเรื่องความถูกต้องในเชิงเขตแดน แม้แผนที่ดังกล่าวจะขัดกับหลักสันปันน้ำ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของการแบ่งเขตดินแดนระหว่างประเทศในขณะนั้น แต่รัฐบาลไทยในยุคนั้นกลับนิ่งเงียบ ไม่เคยออกหนังสือทักท้วงอย่างเป็นทางการ
การนิ่งเฉยนั้น ถูกตีความจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในภายหลังว่าเป็น “การยอมรับโดยพฤตินัย” ซึ่งในทางกฎหมายระหว่างประเทศแล้ว การไม่คัดค้านในเวลาที่เหมาะสม คือการสละสิทธิ์โดยปริยาย และสิ่งนี้คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ดินแดนพิพาท เช่น บริเวณเขาพระวิหาร กลายเป็นของกัมพูชาโดยสมบูรณ์ในสายตาสากล
ไม่มีประเทศไหนในโลกที่ดูแลเขตแดนแบบ “ต่างคนต่างทำ” เท่ากับประเทศไทย กรมแผนที่ทหารดูแลเรื่องแผนที่ กระทรวงมหาดไทยดูแลข้อมูลที่ดิน กระทรวงการต่างประเทศรับผิดชอบเจรจาระหว่างประเทศ และกองทัพภาคก็มีแผนที่อีกชุดเป็นของตัวเอง ความไม่สอดคล้องของข้อมูลนี้คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไทย “แพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเจรจา”
เมื่อเกิดกรณีดินแดนพิพาท แทนที่รัฐไทยจะสามารถยื่นข้อมูลชุดเดียวที่เป็นเอกภาพ กลับต้องเสียเวลาในการรวบรวมแผนที่หลายฉบับ ซึ่งบางครั้งยังขัดแย้งกันเอง ยิ่งทำให้เสียความน่าเชื่อถือในเวทีระหว่างประเทศ และเป็นจุดอ่อนที่เพื่อนบ้านสามารถใช้โจมตีเราได้ง่ายดาย
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าการรักษาดินแดนคือการส่งทหารไปปักหลักตามแนวชายแดน แต่ในความเป็นจริง ดินแดนพิพาทมักตัดสินกันด้วยแผนที่ เอกสาร และหลักฐานทางประวัติศาสตร์มากกว่าอาวุธ ถ้าข้อมูลของไทยยังสะเปะสะปะ และไม่อัปเดตอย่างต่อเนื่อง เราก็จะเสียเปรียบทุกครั้งที่ขึ้นเวทีสากล
ยิ่งไปกว่านั้น การที่ไทยไม่มีศูนย์กลางข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนพิพาท ทำให้ประชาชนไม่ได้รับข้อมูลที่ชัดเจนและถูกต้อง และเปิดโอกาสให้ผู้มีอำนาจบางกลุ่มใช้ประเด็นนี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองได้อย่างสะดวก
หากจะพูดถึงทางออกของปัญหาดินแดนพิพาท สิ่งแรกที่ต้องทำคือ “ยอมรับว่ารัฐไทยเคยพลาด” ไม่ใช่แค่ในอดีต แต่ยังรวมถึงระบบราชการในปัจจุบันที่ยังคงปล่อยให้ข้อมูลเขตแดนแยกส่วน และไม่สามารถรวมศูนย์เพื่อใช้เป็นหลักฐานกลางได้จริง โดยทางออกควรประกอบด้วย
ดินแดนพิพาทจะกลายเป็นอดีตที่แก้ไม่ได้ ถ้าเราไม่เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงในวันนี้ ประเทศไทยยังมีพื้นที่ทับซ้อนอีกหลายจุดที่ยังไม่มีข้อสรุป หากเรายังนิ่งเฉยเหมือนในอดีต วันหนึ่งพื้นที่เหล่านั้นก็อาจถูกตีความว่าเป็นของประเทศเพื่อนบ้านอีกครั้ง
การรักษาอธิปไตยไม่ใช่แค่ส่งทหารเฝ้าพรมแดน แต่คือการเข้าใจกลไกทางกฎหมายและระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับดินแดนพิพาทอย่างลึกซึ้ง หากเรายังปล่อยให้ระบบรัฐไทยขาดเอกภาพ ประชาชนขาดข้อมูล และนักการเมืองใช้ประเด็นนี้เป็นแค่เครื่องมือหาเสียง ประเทศไทยก็อาจต้องสูญเสียอีกมากกว่าที่คิด