ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ไม่ใช่เรื่องใหม่ และก็ไม่ใช่เรื่องเก่าที่จบไปแล้วเช่นกัน มันวนเวียนอยู่ในพื้นที่เดิม ๆ เส้นเดิม ๆ และคำถามเดิม ๆ ที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่เคยได้รับคำตอบตรง ๆ ว่าทำไมแค่ “แผนที่” ถึงสามารถกลายเป็นปัญหาระดับชาติได้ขนาดนั้น หนังสือเล่มนี้ไม่ได้จะบอกว่าใครผิด หรือฝ่ายไหนควรเป็นผู้ครอบครองพื้นที่ไหน แต่มันตั้งคำถามสำคัญกว่านั้น ว่า “ใครที่ไม่เคยคิดจะรับผิดชอบสิ่งที่ตัวเองเริ่มไว้” แล้วปล่อยให้คนในพื้นที่ต้องเจ็บ ต้องตาย ต้องโยกย้าย ต้องไม่ไว้วางใจกันไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีวันได้คืนอะไรกลับมาเลย
ใครที่เคยได้ยินข่าวการยิงกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะบริเวณปราสาทพระวิหาร อาจจะเข้าใจว่ามันเป็นแค่ความขัดแย้งท้องถิ่นระหว่างทหารสองฝ่าย หรือมองว่าเป็นเรื่องของความไม่ลงรอยทางการเมืองภายในประเทศเพื่อนบ้าน แต่หนังสือเล่มนี้จะพาคุณย้อนลึกไปกว่านั้น มันจะพาคุณกลับไปที่ต้นเหตุของเส้นแบ่งพรมแดนที่เราคุ้นเคยกันดีแต่ไม่มีใครเคยรู้จริง ๆ ว่ามันมาจากไหน และถูกลากไว้โดยใคร
คำตอบคือ “ฝรั่งเศส” ในยุคที่จักรวรรดินิยมยังมั่นใจว่าตัวเองจะปกครองโลกได้ตลอดไป พวกเขาคิดว่าดินแดนนี้จะเป็นของตนตลอดกาล จึงลากเส้นด้วยความคิดของผู้มีอำนาจ โดยไม่สนว่าเส้นเหล่านั้นจะตัดผ่านวิถีชีวิตของใคร หรือจะสร้างปัญหาให้ใครในอีกหลายร้อยปีต่อมา การลากเส้นของฝรั่งเศสไม่ได้เป็นไปตามหลักสากลสมัยใหม่ ไม่ได้ผ่านการเจรจาที่เท่าเทียม และไม่ได้คิดไว้เลยว่าอนาคตจะมีใครต้องตายเพราะเส้นหมึกเส้นเดียว
หนังสือเล่มนี้จะพาไล่เรียงตั้งแต่พื้นที่ภูเขาทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ที่เคยเป็นทั้งพื้นที่แลกเปลี่ยน วัฒนธรรม และสงคราม ก่อนจะกลายเป็นเขตแดนทางการทหารในภายหลัง พื้นที่ที่เคยไม่มีคำว่า “เขตแดน” กลับถูกบังคับให้แบ่งฝั่งในแบบที่ไม่มีใครเข้าใจนัก แต่ก็จำใจต้องยอมรับ เพราะผู้มีอำนาจบอกว่ามันถูกต้อง
จากภูเขาไปถึงเกาะในทะเล หนังสือจะพาคุณดูว่า “สิทธิ์” และ “ความเป็นเจ้าของ” ที่เรายึดถือกันในวันนี้ ถูกสร้างขึ้นด้วยกระบวนการแบบไหน และใครได้ประโยชน์จากการสร้างกระบวนการนั้น การลากเส้นของฝรั่งเศสไม่ได้จบที่เพียงแค่แผนที่หนึ่งต่อแสนสอง แต่มันกลายเป็นอาวุธทางการเมืองของทั้งไทยและกัมพูชา ที่ต่างฝ่ายต่างใช้เพื่ออ้างสิทธิ์ตามความเข้าใจของตนเอง โดยไม่คิดย้อนกลับไปดูว่า “สิ่งที่อ้าง” มันเคยยุติธรรมตั้งแต่แรกหรือเปล่า
นี่ไม่ใช่แค่ข้อพิพาททางภูมิศาสตร์ แต่คือข้อพิพาททางจิตใจของคนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ พ่อแม่ต้องอุ้มลูกหนีปืน ทั้งที่บ้านของตัวเองอยู่ตรงนั้นมานานกว่าใครทั้งสองฝั่ง คนไทยรู้สึกว่าโดนบุกรุก คนกัมพูชารู้สึกว่าโดนแย่ง และไม่มีใครรู้ว่าใครเริ่มก่อน เพราะไม่มีใครเคยย้อนกลับไปไกลพอที่จะเห็นต้นเรื่องจริง ๆ
หนังสือเล่มนี้ไม่ได้เขียนขึ้นเพื่อหา “ผู้กระทำผิด” แต่เขียนขึ้นเพื่อให้คนอ่านได้มองทะลุเกมการเมือง มองข้ามความแค้นส่วนตัว และเข้าใจว่าทำไมเรื่องง่าย ๆ อย่าง “ทำไมเราอยู่ตรงนี้ไม่ได้” ถึงกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ยังไม่มีวันจบ ตราบใดที่คนที่ลากเส้นในอดีตยังไม่เคยถูกตั้งคำถามว่า พวกเขาเคยรับผิดชอบอะไรบ้างหรือเปล่า หลังจากที่พวกเขาออกจากดินแดนแถบนี้ไปเกินร้อยปีแล้ว
ประเด็นที่หนังสือย้ำอยู่หลายครั้งก็คือ ไทยและกัมพูชาไม่ได้เป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ ทั้งสองประเทศมีวัฒนธรรมร่วมที่แยกกันไม่ออก มีประวัติศาสตร์ที่เคยอยู่ร่วมกันยาวนาน มีภาษาที่สืบทอดถึงกันในหลายมิติ แต่การปะทะกันในวันนี้เป็นผลลัพธ์ของ “การสร้างภาพของอีกฝ่ายให้กลายเป็นศัตรู” ด้วยการเมืองและคำพูดที่ไม่เคยปรับปรุง หนังสือเล่มนี้จะพาคุณดูว่าทำไมความคิดแบบ “ต้องสู้เพื่อแผ่นดิน” จึงมักถูกปลุกในเวลาที่การเมืองต้องการแรงสนับสนุน และมันกระทบกับชีวิตคนชายแดนจริง ๆ ขนาดไหน
ความพยายามในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทไทย-กัมพูชา เกิดขึ้นหลายครั้งในประวัติศาสตร์ แต่ก็ไม่เคยสำเร็จอย่างแท้จริง เพราะเราไม่เคยยอมรับตรง ๆ ว่าเราอยู่บนกองมรดกของจักรวรรดินิยมที่ไม่เคยถูกจัดการ หนังสือเล่มนี้เสนอว่าความหวังอาจไม่ได้อยู่ที่การตกลงเขตแดนใหม่ แต่อยู่ที่การเข้าใจความเป็นมาของเส้นที่มีอยู่ และกล้ายอมรับว่า “เส้นนี้ไม่เคยถูกวางโดยคนในพื้นที่เลย”
คนที่อยากเข้าใจข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาในเชิงลึก แบบไม่เอียงเข้าข้างใคร
คนที่เคยตั้งคำถามว่า ทำไมเรื่องเล็ก ๆ ถึงกลายเป็นสงครามได้
นักเรียน นักศึกษา และคนทั่วไปที่อยากเรียนรู้ว่า “เส้นเขตแดน” ไม่ได้เป็นแค่เรื่องภูมิศาสตร์ แต่คือเรื่องของอำนาจ ประวัติศาสตร์ และจิตใจมนุษย์
คนที่เชื่อว่าเราควรเข้าใจอดีต เพื่อไม่ให้ทำร้ายกันในอนาคต
หนังสือ “ใครผิด? ใครต้องรับผิดชอบ? ถ้ารู้สาเหตุแล้ว คุณจะอึ้ง” อาจไม่ได้ให้คำตอบทั้งหมด แต่อาจทำให้คุณไม่ถามคำถามเดิมอีกต่อไป นี่ไม่ใช่หนังสือประวัติศาสตร์ในแบบตำรา แต่คือประวัติศาสตร์ในแบบที่กระแทกถึงคนที่ยังอยู่ตรงนั้นจริง ๆ…ระหว่างไทยกับกัมพูชา