ในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชา มีหลายประเด็นที่ยังค้างคาใจผู้คนจำนวนมาก โดยเฉพาะเรื่องความขัดแย้งเรื่องอาณาเขต การเสียดินแดน และการกล่าวหาว่าไทยขโมยมรดกทางวัฒนธรรมของเขมร หนึ่งในเรื่องร้อนที่ยังถูกพูดถึงซ้ำ ๆ คือ “พระแก้วมรกต” พระคู่บ้านคู่เมืองของไทย ซึ่งทางเขมรเชื่อว่าเคยเป็นของตน และถูกสยามขโมยไป เรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่ความเข้าใจผิดเล็ก ๆ แต่คือผลลัพธ์ของแผนการบิดเบือนประวัติศาสตร์อย่างเป็นระบบที่ฝรั่งเศสใช้กับดินแดนอาณานิคมของตน รวมถึงเขมรด้วย
ก่อนจะตัดสินว่าเราควรโกรธใคร เราต้องย้อนกลับไปดูว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ใครเป็นคนเริ่ม ใครเป็นคนใช้ และใครเป็นคนรับผลประโยชน์จากการบิดเบือนนั้น
“พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร” หรือที่เรารู้จักในชื่อพระแก้วมรกต ถือเป็นพระพุทธรูปที่มีความศักดิ์สิทธิ์และสำคัญที่สุดของประเทศไทย หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า ต้นกำเนิดของพระแก้วมรกตอยู่ที่เชียงราย เมื่อปี พ.ศ. 1977 พระแก้วมรกตได้ปรากฏขึ้นหลังจากฟ้าผ่าลงมาที่เจดีย์วัดป่าเยีย (ปัจจุบันคือวัดพระแก้ว จังหวัดเชียงราย) จากนั้นองค์พระก็ถูกอัญเชิญไปยังหลวงพระบาง โดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชแห่งล้านช้าง
ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี เจ้าพระยามหาจักรี (ซึ่งต่อมาคือรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์) ได้นำกองทัพขึ้นไปปราบกบฏในหลวงพระบาง และอัญเชิญพระแก้วมรกตลงมายังกรุงธนบุรี โดยประดิษฐานที่วัดอรุณราชวราราม แล้วในสมัยรัชกาลที่ 1 จึงได้อัญเชิญพระแก้วมรกตข้ามแม่น้ำเจ้าพระยามาประดิษฐานอย่างถาวรที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว
จากหลักฐานที่ชัดเจนทั้งหมดนี้ ไม่เคยปรากฏเลยว่าพระแก้วมรกตเคยอยู่ในอาณาเขตของเขมรเลยแม้แต่วันเดียว
แล้วเรื่องที่เขมรเชื่อว่าไทยขโมยพระแก้วมรกตไปจากตนนั้นมาจากไหน? คำตอบคือ ตำนานที่ชื่อว่า “พระโคพระแก้ว” (Preah Ko – Preah Keo) ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล่าปกติในหมู่ชาวบ้าน แต่เป็นนิทานที่ถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นทางการโดยฝรั่งเศสในช่วงที่เข้าปกครองเขมรเป็นอาณานิคม
ในตำนานนี้ พระโคและพระแก้วเป็นพี่น้องกัน คนหนึ่งเป็นวัวศักดิ์สิทธิ์ อีกคนเป็นพระผู้มีปัญญา ทั้งสองช่วยเหลือชาวกัมพูชาให้รอดพ้นจากความทุกข์ยาก จนกระทั่งวันหนึ่ง ชาวสยามมาหลอกลวงและพาพระโคพระแก้วออกจากดินแดนกัมพูชา ชาวเขมรจึงต้องอยู่อย่างทุกข์ยาก และหวังว่าสักวันจะได้พระโคพระแก้วกลับมา
ฝรั่งเศสใช้ตำนานนี้ในตำราเรียน หนังสือ วรรณกรรม และบทละคร เพื่อสร้างอัตลักษณ์แบบใหม่ให้กัมพูชา ซึ่งในเวลานั้นอยู่ในสถานะอาณานิคม (โคโลนี) และยังไม่มีความเป็นชาติเข้มแข็งเท่าใดนัก การชี้เป้าว่า “สยามคือผู้ร้าย” จึงเป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลที่สุดในการปลุกกระแสชาตินิยม
ฝรั่งเศสไม่เพียงแค่ยึดครองอาณาเขตในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่ยังพยายามควบคุมประวัติศาสตร์ของพื้นที่นั้นด้วย พวกเขาเลือกเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ให้เขมร โดยบิดเบือนให้เห็นว่าสยามคือผู้รุกราน ทั้งในแง่วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และดินแดน ผลคือเกิดความเชื่อผิด ๆ ว่าไทยขโมยมรดกของเขมร ทั้งที่ในความเป็นจริง หลายสิ่งที่ฝรั่งเศสยัดเยียดให้เขมรนั้น ไม่เคยเกี่ยวข้องกับเขมรมาก่อนเลย
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือเรื่องพระแก้วมรกต กับอีกหลายกรณี เช่น เรื่องอาณาเขตทับซ้อนตามแนวเขาพระวิหาร หรือการเสียดินแดนที่ไทยต้องเผชิญเพราะสนธิสัญญากับฝรั่งเศสในอดีต เช่น เสียมราฐ บันทายมาศ และตราด (ตราดเคยถูกยึดไว้เป็นประกัน) เป็นต้น
แม้ฝรั่งเศสจะเป็นผู้สร้างภาพลวงนั้น แต่กัมพูชาก็เลือกที่จะรับและใช้อย่างเต็มที่ เพราะมันให้ผลทางการเมืองในประเทศอย่างชัดเจน การบอกว่า “ของที่สยามมีเป็นของเขมร” ทำให้ชาวกัมพูชารู้สึกภาคภูมิใจในสิ่งที่พวกเขาถูกพรากไป และช่วยสร้างความเกลียดชังต่อไทยได้โดยไม่ต้องใช้ตรรกะอะไรมาก
แน่นอนว่า กัมพูชารุ่นใหม่อาจไม่รู้ต้นตอของนิทานนี้ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่น่าเจ็บใจก็คือ เมื่อถึงเวลาต้องพูดถึงความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ประเด็นเรื่องการเสียดินแดนและมรดกทางวัฒนธรรมกลับกลายเป็นแผลที่ถูกสะกิดซ้ำ ๆ ด้วยความเข้าใจผิดที่ถูกวางรากฐานไว้โดยฝรั่งเศสมาเป็นร้อยปี
เมื่อดูจากแผนที่ภูมิรัฐศาสตร์ และอ่านประวัติศาสตร์ที่แท้จริง เราจะเห็นว่า ไทยเคยเสียดินแดนให้ฝรั่งเศสไปไม่น้อย และเขมรเองก็เคยอยู่ภายใต้อำนาจของสยามมาเป็นเวลานาน ความสัมพันธ์ของทั้งสองชาตินั้นมีความซับซ้อน ไม่ใช่แค่เรื่องของผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ
แต่ในประเด็นเรื่อง “พระแก้วมรกต” และ “ตำนานพระโคพระแก้ว” นั้น ชัดเจนว่าเราไม่ได้ขโมยอะไรจากเขมรเลย เป็นฝรั่งเศสต่างหากที่บิดเบือนความจริง แล้วส่งมอบความบิดเบือนนั้นให้เขมรใช้ต่อ
สุดท้ายเราจึงต้องย้อนกลับมาถามตัวเองว่า
เราควรโกรธกัมพูชา ที่ยึดเอาความเท็จมาเป็นความจริงของชาติ?
หรือควรเกลียดฝรั่งเศส ที่สร้างเท็จนั้นขึ้นมาเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง?