fbpx
โลโก้ Pararin Publishing – สำนักพิมพ์ที่สร้างสรรค์หนังสือให้กำลังใจและพัฒนาตัวเอง จากการเรียนรู้สิ่งที่เคยพลาด

Pararin Publishing ตั้งใจเขียนทุกบทความให้คุณได้อ่านแบบไม่มีโฆษณากวนใจ

เพราะเราอยากให้คุณได้อ่านบทความดี ๆ อย่างเต็มที่ ถ้าคุณรู้สึกว่าเนื้อหาของเรามีคุณค่า

สนับสนุนเราได้ด้วยการซื้ออีบุ๊ค หรือร่วมสมทบตามใจคุณ

เพราะทุกการสนับสนุนของคุณ คือพลังที่ทำให้เราสร้างเนื้อหาดี ๆ ได้ตลอดไป

ในยุคที่แผนที่กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญในข้อพิพาทระหว่างประเทศ คนจำนวนมากมักเชื่อว่าเอกสารเหล่านี้เป็นสิ่งเที่ยงตรงที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้ แต่ความจริงกลับซับซ้อนกว่านั้น โดยเฉพาะในกรณีของไทยและกัมพูชา ซึ่งมี “แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน” เป็นศูนย์กลางของข้อขัดแย้งที่ลากยาวมาหลายชั่วอายุคน

หลายคนอาจไม่รู้ว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ซึ่งดูเหมือนจะเป็นเพียงแผ่นกระดาษธรรมดา กลับกลายเป็นหลักฐานที่ทำให้ไทยต้องสูญเสียสิทธิ์เหนือพื้นที่รอบเขาพระวิหาร และยังถูกนำมาอ้างซ้ำในข้อพิพาทอื่น ๆ ตามแนวชายแดน แม้เวลาจะผ่านไปกว่าศตวรรษก็ตาม

กำเนิดของแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ไม่ได้เกิดจากการเห็นพ้องร่วมกัน

แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ถูกจัดทำขึ้นหลังการลงนามในสนธิสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสในปี 1907 จุดประสงค์ของแผนที่นี้ไม่ได้เป็นการกำหนดเขตแดนอย่างละเอียดเพื่อใช้ในทางกฎหมายระหว่างประเทศ แต่เพื่อให้เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศสใช้บริหารอาณานิคมอินโดจีนของตนให้มีประสิทธิภาพ

แผนที่ฉบับนี้ถูกผลิตจากข้อมูลที่จัดเก็บจากฝั่งเดียว ไม่มีการลงพื้นที่สำรวจร่วม ไม่มีการประชุมตรวจสอบจากฝ่ายไทย และแน่นอนว่า ไม่มีการลงนามรับรองว่า “ตกลงใช้แผนที่นี้ในการแบ่งเขตแดนระหว่างสองรัฐ”

กล่าวง่าย ๆ ว่า แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน คือ “แผนที่ที่คนอื่นลากไว้” โดยที่เราไม่ได้เลือก และไม่ได้มีโอกาสปฏิเสธตั้งแต่ต้น

ปัญหาของมาตราส่วน ความละเอียดที่ไม่พอจะบอกความจริง

หนึ่งในข้อวิจารณ์สำคัญต่อแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน คือเรื่องของ “มาตราส่วน” แผนที่ระดับนี้เหมาะกับการดูภาพรวมของภูมิภาค เช่น เส้นทางคมนาคมหรือการวางโครงสร้างการปกครอง แต่ไม่เหมาะอย่างยิ่งในการใช้ปักปันเขตแดน เพราะมันไม่สามารถแสดงเส้นสันปันน้ำได้อย่างแม่นยำ

ความคลาดเคลื่อนในแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน อาจทำให้แนวเขตที่ควรจะเป็น “กลางสันเขา” ถูกวาดเบี่ยงไปได้หลายร้อยเมตร ซึ่งในบางพื้นที่เช่นเขาพระวิหาร นั่นคือความต่างของการเป็นเจ้าของพื้นที่เลยทีเดียว

ไทยยืนยันใช้แผนที่ 1:50,000 ที่แสดงแนวสันปันน้ำ

ประเทศไทยไม่เคยรับรองว่าแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน คือแผนที่ที่ใช้แบ่งเขตแดนตามสนธิสัญญา 1907 แต่เลือกใช้แผนที่ 1:50,000 ที่อิงแนวสันปันน้ำซึ่งเป็นวิธีแบ่งเขตแดนตามหลักสากล ใช้ลักษณะภูมิประเทศจริง เช่น สันเขา ลำห้วย จุดสูงสุดตามธรรมชาติเป็นเกณฑ์ในการกำหนดอาณาเขต

แผนที่ 1:50,000 ไม่ใช่สิ่งที่ไทยคิดขึ้นเอง หากแต่เป็นมาตรฐานที่องค์การสหประชาชาติและศาลระหว่างประเทศยอมรับในการใช้แบ่งเขตดินแดน เพราะมันแม่นยำและตรวจสอบได้

คำถามคือ ถ้าแผนที่ที่แม่นยำกว่า ถูกต้องตามหลักการมากกว่า กลับไม่ได้รับการยอมรับ แล้วทำไมแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนที่ไม่มีความละเอียดเพียงพอจึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในคำตัดสิน?

คำตอบคือ “ความเงียบ” ที่กลายเป็น “การยอมรับโดยพฤตินัย”

ในสายตาของศาลระหว่างประเทศ พฤติกรรมของรัฐมีความสำคัญไม่แพ้เอกสาร หากไทยไม่เคยประท้วงแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนอย่างเป็นทางการตั้งแต่ช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ศาลจึงตีความว่าประเทศไทย “ยอมรับแผนที่นั้นโดยพฤตินัย”

แม้ว่าในความเป็นจริง ไทยอาจไม่มีโอกาสจะคัดค้าน หรืออยู่ในสถานะที่อ่อนแอจนไม่กล้าทำอะไร ฝรั่งเศสในฐานะเจ้าอาณานิคมก็ไม่มีความจำเป็นต้องเจรจาร่วม แผนที่จึงกลายเป็น “ความจริงที่ถูกสร้างขึ้นฝ่ายเดียว” และความเงียบของไทย กลับถูกแปลว่า “เห็นด้วย” ในเวทีระดับโลก

ผลของแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน ยังคงส่งผลจนถึงปัจจุบัน

ข้อพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาไม่ได้จบลงในปี 2505 หลังคำตัดสินของศาลโลก เพราะหลังจากนั้นยังมีเหตุการณ์ปะทะชายแดนอีกหลายระลอก ทั้งในปี 2551–2554 ที่กองกำลังทั้งสองประเทศเผชิญหน้ากันอีกครั้งรอบพื้นที่เดิม

แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งในการขอคำตีความเพิ่มเติมต่อศาลในปี 2556 เพราะกัมพูชายืนยันว่าเขตพื้นที่รอบเขาพระวิหารเป็นของตนตามแผนที่ฉบับเดิม ขณะที่ไทยยังคงยึดแนวสันปันน้ำตามแผนที่ 1:50,000

ข้อถกเถียงจึงไม่ได้จบเพียงแค่เส้นในแผนที่ แต่มันคือการต่อสู้ระหว่าง “เอกสารที่คนอื่นทำ” กับ “ความเป็นจริงของพื้นที่ที่เรายืนยันมาตลอด”

บทเรียนจากแผนที่ 1 ต่อ 2 แสน เมื่ออำนาจกำหนดความจริง

แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน คือหลักฐานที่บอกเราว่า ความจริงในเวทีระหว่างประเทศไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า “ใครถูก” แต่ขึ้นอยู่กับว่า “ใครได้วาดก่อน” และ “ใครมีอำนาจมากพอจะให้มันถูกใช้”

เมื่อฝรั่งเศสมีทั้งอำนาจทางทหารและทางการเมือง และประเทศไทยอยู่ในสถานะต้องประคองเอกราช การต่อรองใด ๆ ก็ดูจะเป็นเพียงการ “ฟังคำสั่ง” มากกว่าการร่วมสร้างข้อตกลงอย่างเสมอภาค

เราไม่อาจลบแผนที่ 1 ต่อ 2 แสนได้ แต่เราควรตั้งคำถามกับมันเสมอ

แผนที่ 1 ต่อ 2 แสน อาจยังคงอยู่ในแฟ้มเอกสารของศาลระหว่างประเทศ อาจยังคงเป็นหลักฐานที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหยิบมาใช้อ้างสิทธิ์ แต่สิ่งที่เราทำได้ คือการรู้เท่าทันว่าหลักฐานนี้เกิดขึ้นอย่างไร ใครเป็นคนสร้าง และใครไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เห็นมันก่อนที่จะถูกใช้ตัดสิน

การตั้งคำถามกับแผนที่ที่ไม่เคยผ่านการเห็นชอบร่วมกัน ไม่ได้หมายถึงการปฏิเสธความยุติธรรม แต่คือการทวงสิทธิ์ของผู้ที่ไม่เคยมีโอกาสได้พูดมาก่อน

และถ้าเราหวังจะให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นจริงในเวทีโลก เราก็ต้องเริ่มจากการไม่ยอมให้ “แผ่นกระดาษจากอีกซีกโลก” เป็นตัวตัดสินว่าอะไรคือของเรา

Pararin Publishing ตั้งใจเขียนทุกบทความให้คุณได้อ่านแบบไม่มีโฆษณากวนใจ

เพราะเราอยากให้คุณได้อ่านบทความดี ๆ อย่างเต็มที่ ถ้าคุณรู้สึกว่าเนื้อหาของเรามีคุณค่า

สนับสนุนเราได้ด้วยการซื้ออีบุ๊ค หรือร่วมสมทบตามใจคุณ

เพราะทุกการสนับสนุนของคุณ คือพลังที่ทำให้เราสร้างเนื้อหาดี ๆ ได้ตลอดไป