ชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้เป็นแค่พื้นที่ภูมิศาสตร์ที่แบ่งเขตประเทศ แต่มันเป็นสมรภูมิของความเชื่อ ความทรงจำ และการต่อรองทางอำนาจที่ลากยาวมากว่าศตวรรษ เส้นที่ควรจะชัดเจนกลับกลายเป็นเส้นเบลอที่ไม่มีใครตอบได้ว่าควรอยู่ตรงไหน และใครควรมีสิทธิ์ลากเส้นนั้น
เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เช่น การปะทะ การปิดด่าน หรือแม้แต่การหยุดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ มักมีคำอธิบายว่า “เป็นผลจากความขัดแย้งเรื่องพื้นที่ทับซ้อน” แต่คำถามสำคัญคือ พื้นที่เหล่านั้นซ้อนทับกันเพราะอะไร? และทำไมถึงยังซ้อนอยู่ถึงทุกวันนี้?
ชายแดนไทย-กัมพูชา มีจุดยุทธศาสตร์สำคัญอย่าง “เขาพระวิหาร” ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของความไม่ลงรอยระหว่างสองประเทศมานาน โดยเฉพาะในมุมของแผนที่ ไทยใช้แนวสันปันน้ำเป็นหลัก ซึ่งเป็นแนวภูมิประเทศที่ใช้เป็นมาตรฐานสากลในการแบ่งเขตแดน แต่กัมพูชากลับอ้างอิงแผนที่ฉบับหนึ่งที่จัดทำขึ้นโดยฝรั่งเศสในสมัยล่าอาณานิคม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาพระวิหารอยู่ในเขตกัมพูชา
ความแตกต่างนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเทคนิคการวัด หรือระดับความละเอียดของแผนที่ แต่คือความต่างในกระบวนการคิด ความเชื่อ และการตีความที่ฝังรากในประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่มีฝ่ายใดยอมรับความถูกต้องของอีกฝ่ายได้ง่าย ๆ
ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้เริ่มต้นจากไทยหรือกัมพูชา แต่เริ่มจากมหาอำนาจยุโรปอย่างฝรั่งเศส ที่เข้ามาเป็นเจ้าอาณานิคมในดินแดนอินโดจีน แล้วใช้ “อำนาจฝ่ายเดียว” ในการร่างแผนที่ชายแดนขึ้นโดยไม่ปรึกษาหรือเห็นชอบจากสยามในเวลานั้น
แผนที่ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นไม่ได้อิงจากแนวภูมิประเทศจริง และไม่ได้ผ่านการลงนามรับรองร่วมกัน แต่กลับกลายเป็นเอกสารที่ถูกใช้ในศาลโลกเพื่อตัดสินคดีเขาพระวิหารในปี 2505 นี่จึงเป็นที่มาของความไม่พอใจจากฝ่ายไทย ซึ่งมองว่า “เราไม่เคยเลือกแผนที่ฉบับนี้ แต่กลับต้องยอมรับผลที่ตามมา”
หนึ่งในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา คือประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร พ่อค้าแม่ค้า หรือแม้แต่เด็กนักเรียนในหมู่บ้านตามแนวชายแดน
ในหลายช่วงเวลา ด่านผ่านแดนถูกปิดโดยไม่มีคำเตือน การค้าระหว่างประเทศหยุดนิ่ง ผู้คนที่เคยข้ามไปมาหาสู่กันได้ ต้องกลับไปอยู่ในสภาพระแวง เช่นเดียวกับเมื่อเกิดความตึงเครียดทางการเมือง ชาวบ้านบางรายถูกบังคับให้อพยพออกจากพื้นที่โดยไม่มีหลักประกันใด ๆ เพราะ “เส้น” ที่ว่านั้น อาจเปลี่ยนได้ทุกครั้งที่การเมืองเปลี่ยนทิศ
แม้ศาลโลกจะตัดสินให้เขาพระวิหารเป็นของกัมพูชาในปี 2505 แต่คำตัดสินนั้นกลับไม่ได้ระบุแนวเขตดินแดนโดยรอบไว้อย่างชัดเจน จึงเปิดโอกาสให้เกิดการตีความต่อว่า “ดินแดนใกล้เคียงเขาพระวิหาร” เช่น ลานจอดเฮลิคอปเตอร์ หรือบริเวณรอบฐานภูเขา ควรจะอยู่ในเขตของใคร
นั่นทำให้ชายแดนไทย-กัมพูชา กลายเป็นแผลเปิดที่ไม่มีวันตกสะเก็ด เพราะคำว่า “พื้นที่พิพาท” ยังไม่มีคำจำกัดความที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับตรงกัน
หากมองย้อนกลับไปตั้งแต่ต้นเรื่อง เราอาจพบว่า ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ได้เกิดจากการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างสองประเทศเพียงอย่างเดียว แต่คือผลจากการที่ “ใครบางคนในอดีต” ลากเส้นโดยไม่ต้องรับผลลัพธ์ที่ตามมา
ฝรั่งเศสทำหน้าที่เป็นผู้ร่าง กัมพูชาถูกหล่อหลอมให้เชื่อว่าแผนที่นั้นคือความจริง ส่วนไทยถูกบีบให้รับผลคำตัดสินโดยไม่เคยมีโอกาสโต้แย้งบนเวทีที่เท่าเทียม และสุดท้ายคือประชาชนในพื้นที่ ที่ต้องใช้ชีวิตภายใต้ความไม่แน่นอน โดยไม่มีใครยืนขึ้นมาเป็นผู้รับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น
การแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา อย่างยั่งยืน ควรเริ่มต้นจากการยอมรับร่วมกันว่า “เส้น” ที่ใช้เป็นหลักฐานในอดีต ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นอย่างเท่าเทียม และยังมีข้อผิดพลาดในกระบวนการมากมาย
ทั้งสองฝ่ายควรกลับมาเริ่มต้นที่ “ข้อมูลจริง” เช่น การสำรวจแผนที่ภูมิประเทศร่วมกันใหม่ การเปิดเผยหลักฐานต่อสาธารณะ และการให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วมในกระบวนการเจรจา แทนที่จะให้เป็นเรื่องของทหารหรือนักการเมืองเพียงไม่กี่คน
ในโลกที่พรมแดนหลายแห่งกลายเป็นจุดเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การศึกษา และวัฒนธรรม เราควรถามตัวเองว่า ทำไมชายแดนไทย-กัมพูชา ยังคงเป็นจุดปะทะอยู่เสมอ?
บางทีสิ่งที่เราต้องการอาจไม่ใช่คำตัดสินใหม่หรือแผนที่ใหม่ แต่คือกระบวนการพูดคุยใหม่ที่ไม่มีใครอยู่เหนือกว่าใคร และไม่มีใครถูกละเลยเหมือนที่ผ่านมา