หนึ่งในคำถามที่ถูกตั้งซ้ำแล้วซ้ำอีกจากประชาชนที่ติดตามข่าวความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา คือ “รัฐบาลไทยทำอะไรอยู่?” และ “รัฐบาลไทยรับมือเรื่องนี้อย่างไร?” ไม่ว่าจะเป็นในช่วงที่เกิดการปะทะกันจริง ๆ หรือแม้กระทั่งในช่วงที่มีแค่กระแสความตึงเครียดผ่านหน้าสื่อ คำถามเหล่านี้ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
กรณีพิพาทระหว่างไทยกับกัมพูชาไม่ได้เพิ่งเริ่มต้นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่มันคือผลสะสมของความคลุมเครือและการปล่อยปละละเลยที่ยาวนานมานับศตวรรษ ซึ่งรัฐบาลไทยในหลายยุคหลายสมัยต่างก็มีบทบาทที่แตกต่างกันออกไป บางรัฐบาลไทยเลือกจะ “นิ่ง” เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ บางรัฐบาลไทยเลือก “ตอบโต้” เพื่อรักษาศักดิ์ศรี แต่สิ่งที่ยังเหมือนเดิมคือ ประชาชนแทบไม่เคยรู้แน่ชัดว่า รัฐบาลไทยใช้หลักฐานอะไร และมีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์อย่างไรในเรื่องนี้
หนึ่งในต้นตอของปัญหาคือการที่ไทยและกัมพูชาใช้แผนที่คนละฉบับในการอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนบริเวณเขาพระวิหาร โดยรัฐบาลไทยยืนยันว่าสิ่งที่ควรใช้เป็นหลักคือ “แนวสันปันน้ำ” ตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นแนวเขตดั้งเดิมที่สยามยึดถือมาแต่แรก ในขณะที่กัมพูชากลับอ้างแผนที่ฉบับที่ฝรั่งเศสจัดทำในยุคล่าอาณานิคม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเขตแดนของกัมพูชา
แต่คำถามที่ไม่ค่อยมีใครกล้าถามตรง ๆ ก็คือ รัฐบาลไทยเคยประกาศไม่รับแผนที่ฉบับนั้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่เมื่อไร? มีหนังสือทักท้วงไปยังฝรั่งเศสหรือไม่ในสมัยที่เกิดความคลาดเคลื่อน? หรือรัฐบาลไทยเพียงแค่เก็บความไม่พอใจไว้เงียบ ๆ จนเวลาล่วงเลยไป และต้องมาแก้ไขในวันที่ทุกอย่างสายเกิน?
ในปี 2505 ศาลโลกมีคำตัดสินให้ “ตัวปราสาทเขาพระวิหาร” ตกเป็นของกัมพูชา รัฐบาลไทยในยุคนั้นยอมรับคำตัดสิน แต่ปฏิเสธที่จะยอมรับแผนที่ที่เป็นที่มาของการตีความนั้น ประชาชนจำนวนมากยังคงตั้งคำถามว่า รัฐบาลไทยสู้เต็มที่แล้วจริงหรือไม่? มีข้อมูลหรือหลักฐานทางภูมิศาสตร์ที่ถูกใช้ในศาลเพียงพอหรือไม่? และทำไมเราจึงพ่ายแพ้ในคดีที่เกี่ยวกับผืนดินของเราเอง?
จากวันนั้นถึงวันนี้ รัฐบาลไทยในหลายยุคเปลี่ยนผ่านโดยไม่มีนโยบายระยะยาวหรือแผนรับมือข้อพิพาทระหว่างประเทศที่ชัดเจน โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงเขตชายแดนที่ยังไม่เคยได้รับการปักปันอย่างสมบูรณ์
มีหลายเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยมักจะ “รอให้เกิดเรื่องก่อน” แล้วค่อยออกมาแถลงหรือชี้แจง เช่น ในกรณีที่เกิดความตึงเครียด ณ เขาพระวิหาร และทหารไทย–กัมพูชามีการตรึงกำลังเผชิญหน้ากัน รัฐบาลไทยมักจะแถลงว่า “อยู่ในความควบคุม” หรือ “กำลังเจรจา” แต่ประชาชนในพื้นที่กลับรู้สึกว่าตนเองถูกปล่อยให้อยู่ในความเสี่ยง โดยไม่มีความชัดเจนใด ๆ ว่ารัฐบาลไทยวางแนวทางแก้ไขอย่างไร
สิ่งที่คนในพื้นที่อยากเห็นจากรัฐบาลไทยไม่ใช่แค่คำแถลง แต่คือการวางแผนรับมือทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงการสื่อสารอย่างโปร่งใสถึงขอบเขตปัญหา และแนวทางที่ประเทศไทยจะเดินต่อไป
อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้รัฐบาลไทยมักรับมือกับปัญหาชายแดนได้ไม่เต็มที่ คือปัญหาการเมืองภายในประเทศ หลายครั้งที่เกิดความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ปรากฏว่าในประเทศไทยเองก็กำลังอยู่ในช่วงวิกฤติทางการเมือง ทำให้รัฐบาลไทยไม่มีเสถียรภาพพอที่จะเจรจา ต่อรอง หรือผลักดันนโยบายที่ชัดเจนได้
ในขณะที่รัฐบาลกัมพูชาเดินเกมทางการทูตอย่างต่อเนื่องในเวทีระหว่างประเทศ รัฐบาลไทยกลับต้องจัดการกับแรงเสียดทานภายใน เช่น การประท้วง การเปลี่ยนตัวผู้นำ หรือการเลือกตั้งที่ยังไม่เสถียร ผลที่ตามมาคือ ข้อพิพาทระดับประเทศกลายเป็น “เรื่องที่ถูกพักไว้ก่อน” จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินหน้าไปไกลเกินกว่าจะตามทัน
หากรัฐบาลไทยต้องการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่ “ตอบโต้ตามสถานการณ์” สิ่งที่ควรทำในวันนี้คือ
ทุกครั้งที่เกิดปัญหาชายแดน เสียงเรียกร้องให้รัฐบาลไทย “ทำอะไรสักอย่าง” จะดังกระหึ่ม แต่เมื่อผ่านไปไม่นาน ความสนใจสาธารณะก็เลือนหาย พร้อมกับความคลุมเครือที่ยังคงอยู่เหมือนเดิม
หากเรายังไม่มีรัฐบาลไทยที่กล้ายืนบนจุดยืนของตนเองโดยไม่หวั่นไหวกับแรงเสียดทาน ไม่ว่าจะมาจากประชาคมโลกหรือจากการเมืองภายใน ประเทศไทยก็อาจต้องอยู่กับ “เส้นที่คนอื่นลากไว้” ไปอีกนาน — และประชาชนก็คือคนที่ต้องเดินอยู่บนเส้นนั้น โดยไม่รู้ว่ากำลังก้าวข้ามแดนใครอยู่ในแต่ละวัน