เมื่อพูดถึงเหตุการณ์การเสียดินแดนของประเทศไทย หลายคนอาจโฟกัสไปที่สนธิสัญญา หรือเจรจาระหว่างประเทศ แต่หากมองลึกลงไปในโครงสร้างการเมืองไทยแล้ว จะพบว่ารัฐบาลไทยในหลายยุคสมัยคือผู้เล่นสำคัญที่มีอิทธิพลต่อผลลัพธ์เหล่านั้น ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ
ในบทความนี้ เราจะชวนคุณย้อนมอง “เบื้องหลัง” ของการสูญเสียอธิปไตยในหลายพื้นที่ที่เกิดขึ้นจากความไม่พร้อมของรัฐบาลไทย หรือในบางกรณีคือ “การยอมเสีย” โดยไม่มีการต่อสู้ เพื่อรักษาผลประโยชน์บางอย่างที่อาจไม่เกี่ยวกับประชาชนส่วนรวมเลยด้วยซ้ำ
ในช่วงต้นของการล่าอาณานิคม สยามถูกล้อมด้วยจักรวรรดิอังกฤษและฝรั่งเศส รัฐบาลไทยในสมัยนั้นอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถต้านทานอำนาจโลกได้โดยตรง ทางเลือกเดียวที่ดูเหมือนจะเป็นไปได้ คือการเจรจาแลกเปลี่ยนดินแดนเพื่อรักษา “ใจกลาง” ของประเทศไว้ ซึ่งส่งผลให้เกิดการยอมยกดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส และบางส่วนในภาคใต้ให้แก่อังกฤษ
แม้จะมีเหตุผลด้านยุทธศาสตร์ แต่การตัดสินใจเหล่านี้ไม่ได้ผ่านความเห็นของประชาชน หรือการหารือที่โปร่งใส ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า รัฐบาลไทยในตอนนั้น “รู้จริง” หรือไม่ว่าแผนที่ที่ใช้กำลังเล่นงานเราอยู่ หรือแค่เชื่อในเจตนาดีของอาณานิคมที่มีอำนาจเหนือกว่าหลายเท่า
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศไทยถูกบีบให้คืนดินแดนที่ได้มาในช่วงเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น และต้องเจรจากับฝรั่งเศสอีกครั้งในประเด็นที่ไทยเคยยึดคืนได้จากอินโดจีนฝรั่งเศส
สิ่งที่ประชาชนไม่ค่อยได้รับรู้คือ รัฐบาลไทยในช่วงนั้นมี “อำนาจต่อรองต่ำมาก” เพราะถูกรวมอยู่ในกลุ่มผู้แพ้สงครามแบบกลาย ๆ แม้จะอ้างว่าประกาศสงบศึกในนามเสรีไทย แต่ในทางปฏิบัติไทยไม่สามารถปฏิเสธเงื่อนไขของฝ่ายชนะได้เต็มที่
รัฐบาลไทยจึงเลือกทางรอดระยะสั้น—ยอมคืนดินแดน เพื่อไม่ให้ประเทศต้องเจอกับสภาพเดียวกับเยอรมันหรือญี่ปุ่น นี่คือการ “เสีย” เพื่อคงอยู่ แต่ผลลัพธ์คือประชาชนจำนวนมากไม่เข้าใจว่าเหตุใดดินแดนที่เราคืนได้จึงต้องถูกคืนกลับ
หนึ่งในจุดอ่อนสำคัญของรัฐบาลไทยที่ส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ คือ “ระบบราชการแบบแยกส่วน” หน่วยงานที่ดูแลเขตแดน เช่น กระทรวงมหาดไทย กรมแผนที่ กองทัพ และกระทรวงต่างประเทศ กลับทำงานแบบแยกจากกัน โดยไม่มีศูนย์กลางวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ร่วมกัน
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือกรณีของ “แผนที่ 1:200,000” ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นในยุคล่าอาณานิคม รัฐบาลไทยบางยุคถึงขั้นนำมาใช้อ้างอิงเอง โดยไม่รู้ว่ามันเป็นแผนที่ที่ขัดกับหลักสันปันน้ำที่ประเทศไทยเคยยึดถือ
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยไม่มีฐานข้อมูลกลางเกี่ยวกับเขตแดนของประเทศอย่างชัดเจน ส่งผลให้การเจรจาในระดับนานาชาติมักอ่อนข้อ เพราะไม่มีเอกสารสนับสนุนที่หนักแน่น และในหลายกรณี ยังต้องใช้แผนที่ของ “ฝ่ายตรงข้าม” เป็นหลักฐานประกอบเอง
ในบางช่วงเวลา รัฐบาลไทยรับรู้ถึงความผิดพลาดที่กำลังจะเกิด เช่น การที่แผนที่ของต่างชาติกำลังบิดเบือนแนวเขต หรือการที่ประเทศเพื่อนบ้านเริ่มมีการตั้งฐานถาวรในพื้นที่พิพาท แต่รัฐบาลกลับเลือก “ไม่พูด” และ “ไม่จัดการ” เพราะเกรงว่าเรื่องจะบานปลาย
ท่าทีเช่นนี้นำไปสู่ “ความปกติที่ผิดพลาด” ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปยิ่งกลายเป็นข้อเสียเปรียบ เช่น ในกรณีที่รัฐบาลไทยยอมรับว่า ไม่ได้ทักท้วงการตีความของศาลโลกอย่างจริงจังเมื่อครั้งตัดสินคดีเขาพระวิหาร ทำให้ในภายหลังต้องยอมรับผลทางกฎหมายโดยไม่มีทางเลือก
ในโลกที่ข้อพิพาทด้านเขตแดนยังคงเกิดขึ้นทั่วโลก ตั้งแต่ยูเครน–รัสเซีย ไปจนถึงจีน–อินเดีย ประเทศไทยไม่สามารถอาศัยแต่ “ความสงบ” หรือ “การไม่เลือกข้าง” เป็นหลักในการรักษาอธิปไตยได้อีกต่อไป
รัฐบาลไทยต้องยอมรับว่าการป้องกันดินแดน ไม่ได้มีแค่การใช้ทหาร แต่ต้องใช้ข้อมูล ความโปร่งใส และเจตจำนงร่วมกันระหว่างรัฐกับประชาชน และหากรัฐบาลไทยยังไม่กล้ายอมรับบทเรียนในอดีต—เราก็อาจได้เห็นประวัติศาสตร์ “เสียดินแดน” เวียนกลับมาอีกครั้ง ในรูปแบบที่ต่างออกไป แต่เจ็บปวดเหมือนเดิม