คำว่า “ดินแดนพิพาท” ไม่ใช่สิ่งใหม่สำหรับประเทศไทย โดยเฉพาะในบริบทความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา ซึ่งมีพื้นที่ทับซ้อนหลายจุดที่ยังไม่มีการสรุปแน่ชัดว่าใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง แต่คำถามสำคัญคือ เหตุใดปัญหาเหล่านี้จึงยังอยู่ยืดมาถึงทุกวันนี้ และใครคือผู้ที่ควรรับผิดชอบในความสับสนซ้ำซ้อนนี้?
เมื่อย้อนดูต้นตอของข้อพิพาท จะพบว่าความคลุมเครือเรื่องเขตแดนมีมาตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคม และส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ “แผนที่ที่ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย” มาอ้างสิทธิ์ ซึ่งนั่นรวมถึงแผนที่ 1:200,000 ที่ฝรั่งเศสจัดทำขึ้นฝ่ายเดียว แล้วส่งให้รัฐบาลไทยในอดีต โดยไม่มีการตรวจสอบ หรือทักท้วงอย่างเป็นทางการ แม้แผนที่จะไม่ตรงกับหลักการแบ่งเขตตามสันปันน้ำก็ตาม
ในเอกสารที่ถูกเปิดเผยภายหลัง มีหลักฐานว่าเจ้าหน้าที่ไทยได้รับแผนที่ 1:200,000 มาตั้งแต่ปี 1908 แต่ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เพื่อตอบโต้หรือขอแก้ไขอย่างเป็นทางการ ในทางปฏิบัติ จึงถือว่า “รับทราบและยอมรับโดยปริยาย” และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของดินแดนพิพาทที่ลากยาวจนถึงปัจจุบัน
เมื่อเวลาผ่านไป ความนิ่งเฉยนี้กลับยิ่งทำให้ฝรั่งเศสและต่อมาเป็นกัมพูชา มี “หลักฐาน” ในมือเพื่อใช้ยืนยันสิทธิในพื้นที่พิพาทหลายจุด โดยเฉพาะเขาพระวิหาร ซึ่งกลายเป็นข้อพิพาทระดับศาลโลกในปี 1962 และในภายหลังก็ยังตามมาด้วยความตึงเครียดที่ชายแดนไทย-กัมพูชาอีกหลายรอบ
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้ดินแดนพิพาทไม่ได้รับการแก้ไขอย่างตรงไปตรงมาคือ ความซับซ้อนของระบบราชการไทย ที่แยกการดูแลเขตแดนออกเป็นหลายหน่วยงานโดยไม่มีศูนย์กลางประสานงาน กรมแผนที่ทหาร, กระทรวงการต่างประเทศ, กองทัพบก, กระทรวงมหาดไทย ต่างคนต่างมีข้อมูลของตนเอง และบางครั้งก็อ้างอิงแผนที่คนละฉบับ
นี่คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้ไทยไม่สามารถใช้ “ข้อมูลชุดเดียว” ในการเจรจาเรื่องดินแดนพิพาทกับประเทศอื่น และยิ่งแย่ลงเมื่อฝ่ายตรงข้ามมีข้อมูลแบบเดียวที่ใช้กันทั้งระบบ เช่น กัมพูชาอ้างแผนที่ 1:200,000 เป็นหลักอย่างมั่นคง ขณะที่ฝ่ายไทยกลับมีข้อมูลกระจัดกระจาย บางฉบับขัดแย้งกันเอง
เมื่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ตัดสินคดีเขาพระวิหารในปี 1962 ว่า “กัมพูชาเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง” บนพื้นฐานว่าไทยไม่เคยคัดค้านแผนที่ 1:200,000 อย่างเป็นทางการ การนิ่งเฉยของไทยกลายเป็นข้อเสียเปรียบอย่างชัดเจน และกลายเป็นบรรทัดฐานที่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามใช้กรณีนี้เป็นโมเดลสำหรับดินแดนพิพาทจุดอื่น ๆ
สิ่งที่น่าเจ็บใจคือ ไทยมีหลักฐานและเหตุผลพอสมควรในการต่อสู้ในคดีนั้น แต่กลับไม่ได้ใช้โอกาสอย่างเต็มที่ เพราะความล่าช้าในกระบวนการประสานข้อมูลระหว่างหน่วยงาน และการขาดกลยุทธ์ที่ชัดเจน
ดินแดนพิพาทไม่ใช่แค่เรื่อง “แผ่นดิน” แต่คือเรื่องของ “อธิปไตย”
การเสียพื้นที่แม้เพียงไม่กี่ตารางกิโลเมตร อาจดูเล็กน้อยในทางภูมิศาสตร์ แต่ในทางกฎหมายและอธิปไตย ถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะหมายถึงการยอมรับว่าประเทศนั้น ๆ มีสิทธิในพื้นที่อย่างถูกต้อง และทำให้การเรียกร้องสิทธิคืนกลับแทบเป็นไปไม่ได้
กรณีเช่นนี้ไม่เพียงส่งผลต่อเขตแดนในแง่กายภาพ แต่ยังมีผลต่อทรัพยากร เช่น แหล่งน้ำ แร่ธรรมชาติ และสิทธิในการควบคุมพื้นที่ทางยุทธศาสตร์ ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงของชาติในระยะยาว
ถึงแม้ประเทศไทยจะมีแผนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง แต่ในทางปฏิบัติยังขาดเครื่องมือสำคัญในการรับมือกับดินแดนพิพาทอย่างแท้จริง ต่อไปนี้คือข้อเสนอเชิงระบบที่รัฐบาลควรพิจารณาอย่างเร่งด่วน
หลายกรณีในประวัติศาสตร์บอกเราว่า “ความเงียบ” คือศัตรูตัวร้ายที่สุดของสิทธิในดินแดน ไม่ว่าจะเป็นแผนที่, การตีความกฎหมาย, หรือคำพิพากษาจากศาลโลก ล้วนตัดสินบนฐานของ “พฤติกรรมของรัฐ” หากไทยยังเงียบ ไม่ตอบโต้ ไม่เจรจา ไม่สื่อสาร ก็เท่ากับยอมจำนนโดยอ้อม
“ดินแดนพิพาท” ไม่ควรกลายเป็นบาดแผลถาวรของประเทศ ถ้าเรามีข้อมูลที่ชัด มีกลยุทธ์ที่เด็ดขาด และมีเจตจำนงทางการเมืองที่แข็งแรง ไทยก็ยังมีโอกาสรักษาอธิปไตยของตนไว้ได้ในระยะยาว